ll ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปี 2565 และคาดว่ามีทิศทางในขาขึ้นในระยะข้างหน้า โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้เกิดการจำกัดการส่งออกก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในตลาดโลกและไทยอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาและคาดจะอยู่ในระดับที่สูงต่อไป แนวโน้มดังกล่าวย่อมส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย สะท้อนได้จากสัดส่วนมูลค่า GDP ของอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2564 ที่สูงถึง 27% ของ GDP ทั้งหมด
ในช่วงที่ผ่านมา ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 3.60 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2564 เป็น 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2565 ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของไทย โดยสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวสูงถึง 53% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2564 โดยราคาก๊าซธรรมชาติโดยเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นจาก233 บาท/MMBTU ในปี 2564 เป็น 456 บาท/MMBTUในปี 2565 โดยมีสาเหตุหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1.ไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ก๊าซ LNG) จากต่างประเทศ เพื่อใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีต้นทุนสูงในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2564 เป็น 39% ในปี 2565 และ 2.ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 334 บาท/ MMBTU ในปี 2564 เป็น 793 บาท/MMBTU ในปี 2565ตามทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลก
สำหรับปี 2566-67 Krungthai COMPASS คาดว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยจะมีทิศทางในขาขึ้นต่อไป เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีแนวโน้มปรับค่าไฟฟ้าขึ้น ตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติของไทย ซึ่งมีแนวทางแบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1) ค่าไฟฟ้าปรับตามต้นทุนที่เกิดจริง โดยภาครัฐไม่เรียกเก็บเงินเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปี 2566-67 อยู่ที่ 4.90 และ 4.43 บาท/หน่วยไฟฟ้า กรณีที่ 2)ภาครัฐจะทยอยเรียกเก็บเงินเพิ่มจากค่าไฟฟ้างวดละ 0.33 บาท/หน่วยไฟฟ้าเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2566-67 อยู่ที่ 5.23 และ 4.76 บาท/หน่วยไฟฟ้า และ กรณีที่ 3) ภาครัฐจะทยอยเรียกเก็บเงินเพิ่มจากค่าไฟฟ้างวดละ 0.67 บาท/หน่วยไฟฟ้า เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2566-67 อยู่ที่ 5.57 และ 4.43 บาท/หน่วยไฟฟ้าโดยมีปัจจัยสนับสนุน 2 ประเด็น ดังนี้ 1.ไทยยังคงต้องนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2565 เป็น 41% ในปี 2566เพื่อทดแทนการลดลงของก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาในปี 2566จึงทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 469 บาท/MMBTU ในปี 2566 จากปี 2565 ที่อยู่ที่ 456 บาท/MMBTU ในปี 2565 และ 2.คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีแนวโน้มปรับค่าไฟฟ้าตามต้นทุนที่แท้จริง หรืออาจจะทยอยเรียกเก็บเงินเพิ่ม เพื่อลดภาระที่ได้ทำการอุดหนุนค่าไฟฟ้าในช่วงก่อนหน้า (ก.ย. 2564-ธ.ค.2565) โดยการไฟฟ้าการผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 1.68 แสนล้านบาท โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในช่วงที่ผ่านมา กฟผ.ได้ช่วยอุดหนุนค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยที่ 0.20 บาท/หน่วยไฟฟ้า และ 0.65 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2564-65
ค่าไฟฟ้าของไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนแตะสูงสุดในปี 2566 ย่อมส่งผลลบต่อต้นทุนโดยรวมและกำไรสุทธิของกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ Krungthai COMPASS ประเมินว่า ทุก 1% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตรากำไรสุทธิของอุตสาหกรรมการผลิตลดลงประมาณ 0.03% ซึ่งหากค่าไฟฟ้าเป็นตามกรณีที่ 1) ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 17.8% (เพิ่มขึ้นจาก 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้า ในปี 2565 เป็น 4.90 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2566) ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงจาก 1.5% เป็น 0.9%กรณีที่ 2) ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 25.7% (เพิ่มขึ้นจาก 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2565 เป็น 5.23 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2566) ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงจาก 1.5% เป็น 0.7%กรณีที่ 3)ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 33.9% (เพิ่มขึ้นจาก 4.16 บาท/หน่วยไฟฟ้า ในปี 2565 เป็น 5.57 บาท/หน่วยไฟฟ้าในปี 2566) ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงจาก 1.5% เป็น 0.4% ดังนั้น หากสัดส่วนระหว่างค่าไฟฟ้าและต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยอยู่ที่ 4.0% ในปี 2565 และค่าไฟฟ้าเฉลี่ยมีทิศทางตามกรณีที่ 1 (รูปที่ 2) จะทำให้อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของอุตสาหกรรมการผลิตคาดว่าลดลงจาก 1.5% ในปี 2565 เป็น 0.9% ในปี 2566 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3% ในปี 2567ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าต้นทุนอื่นๆ นอกเหนือจากค่าไฟฟ้า และรายได้คงที่ในช่วงเวลาดังกล่าว
อัตรากำไรสุทธิของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น มีแนวโน้มลดลงประมาณ 0.04%-0.14% หากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าในขาขึ้นค่อนข้างมาก คือ อุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตอย่างเข้มข้นเช่น อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมผลิตโลหะ อุตสาหกรรมผลิตยางและพลาสติก และอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ ดังนั้น หากสัดส่วนระหว่างค่าไฟฟ้าและต้นทุนทั้งหมดของอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ที่4.7%-14.1% ในปี 2565 และค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเป็นตามกรณีที่ 1จะทำให้อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในกลุ่มนี้ลดลงจาก -3.0% ถึง1.2% ในปี 2565 เป็น -4.4% ถึง 0.1%ในปี 2566 ก่อนที่จะฟื้นตัวเป็น-3.5% ถึง 0.8% ในปี 2567ซึ่งอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากค่าไฟฟ้า และยอดขายไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาดังกล่าว
อุตสาหกรรมการผลิตเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น จึงทำให้ได้รับผลกระทบอย่างมากจากค่าไฟฟ้าที่คาดว่ายังอยู่ในระดับสูงในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเครื่องจักรที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมนี้เช่น เครื่องอัดอากาศ (Aircompressor) และหม้อแปลงไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลือง และมักถูกละเลยในเรื่องการประหยัดพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องจักรดังกล่าว และการปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าในระยะข้างหน้า โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้
1.ควรติดตั้ง Capacitor Bank ที่ทำหน้าที่ปรับค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ (PF.) ของระบบจ่ายไฟของหม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงาน เพื่อลดความสูญเสียพลังงานความร้อนของระบบจ่ายไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของหม้อแปลงไฟฟ้าถึง 46%เมื่อเทียบกับก่อนติดตั้ง ทั้งนี้ การติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวจะใช้งบประมาณ 3,300 - 240,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของแต่ละโรงงานอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดีมีเพียงผู้ประกอบการขนาดใหญ่เท่านั้นที่คุ้มค่าในการติดตั้ง Capacitor Bank เพราะผลประโยชน์จากประหยัดค่าไฟฟ้าของผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถทำให้คุ้มค่าในการลงทุนภายใน 2.2 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุการใช้งานของ Capacitor Bank ที่อยู่ประมาณ 11 ปี 2.ควรปรับความดันของเครื่องอัดอากาศ (Aircompressor) ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่ช่วยสร้างลมที่ความดันสูงเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม ให้เท่ากับความต้องการของเครื่องจักรต่างๆในกระบวนการผลิต โดยการปรับความดันของเครื่องอัดอากาศลงทีละ 0.5Bar เพื่อทดสอบหาความดันที่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ วิธีดังกล่าวจะช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้าของเครื่องอัดอากาศถึง 19% โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
3.ควรเปลี่ยนเครื่องจักร และชิ้นส่วนเครื่องจักร เช่น เครื่องอัดอากาศ ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี เนื่องจากเครื่องจักรใหม่ เช่น เครื่องอัดอากาศ ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าเครื่องจักรที่อายุใช้งานมากกว่า 20 ปี ถึง 46% 4.ควรติดตั้ง และใช้ระบบบริหารจัดการพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม (FEMS) ร่วมกับระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักร (PLC) และเครื่องมือวัดค่าปริมาณพลังงานไฟฟ้า(Power Meter) เนื่องจากการใช้งานเครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงานได้มากขึ้น และยังช่วยให้บริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าของเครื่องจักรต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ซึ่งจะช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้าของเครื่องจักรต่างๆ ได้ถึง 2-30% ทั้งนี้ ในเบื้องต้นการติดตั้งระบบ FEMS รวมทั้ง อุปกรณ์ที่ใช้งานร่วม เช่น PLC และ Power Meter ใช้เงินลงทุนราว 120,000 บาทนอกจากนั้น ระบบการจัดการพลังงานนี้เป็นระบบที่มีรายละเอียดจำเพาะเจาะจงสำหรับผู้ใช้แต่ละราย 14 จึงควรเลือกปรึกษา และใช้บริการผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้งและดัดแปลงระบบดังกล่าว โดยรายชื่อของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบ FEMS อยู่ในรูปที่ 5
5.ควรติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีกำลังการผลิตที่เพียงพอต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้ง Energy Storage System หรือแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่มีความจุเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีความเข้มแสงไม่เพียงพอในการผลิตไฟฟ้า เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ช่วยกักเก็บพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินในช่วงเวลาที่มีความเข้มแสงเพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า (10.00 am-3.00 pm) เพื่อนำไปใช้ในช่วงเวลาอื่น จึงทำให้ได้รับประโยชน์สุทธิจากประหยัดไฟฟ้าตลอดอายุการใช้งานแผงเซลล์อาทิตย์ (25 ปี) มากที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี