nn KKP Research โดย ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)...ได้ออกบทวิเคราะห์ภาพรวมของเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยชะลอแม้ว่าการท่องเที่ยวฟื้นตัวก็ตามซึ่งปี 2566 นับเป็นปีที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.การประกาศเปิดเมืองที่เร็วกว่าคาดของจีนในช่วงต้นปีที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม 2.การบริโภคในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตามรายได้จากภาคการท่องเที่ยว และ 3.ภาคการส่งออกที่คาดว่าจะไม่ชะลอตัวลงมากเพราะการเปิดเมืองของจีนจะช่วยให้อุปสงค์ของเศรษฐกิจโลกปรับดี
แต่ในช่วงที่ผ่านมาสัญญาณเศรษฐกิจหลายอย่างเริ่มชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อ่อนแอลงกว่าที่ประเมินไว้ แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจอาจจะค่อยๆฟื้นตัวจากตัวเลขนักท่องเที่ยว โดย KKP Research ยังคงมุมมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และไม่เท่ากัน และคาดว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่การท่องเที่ยวอาจจะเผชิญความท้าทายและมีทิศทางที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักที่เปลี่ยนไปจากช่วงต้นปี คือ
1.รายได้จากภาคการท่องเที่ยวไม่กระจายไปภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ตามที่คาด ในปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจนถึงเดือนพฤษภาคมกลับมาได้ประมาณ 11 ล้านคน แต่สัญญาณในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ กลับยังไม่ได้ฟื้นตัวได้ดีนัก โดยนับจนถึงปัจจุบันการบริโภคในกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ภาคบริการยังฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดเท่านั้นต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่การบริโภคฟื้นตัวได้ดีมาก สอดคล้องกับที่ KKP Research ประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยมีความเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจและพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆ ต่ำและครอบคลุมรายได้ของแรงงานเพียงประมาณ 11% ของประเทศเท่านั้น
2.อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น การชะลอตัวลงของการปล่อยสินเชื่อและการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในภาคธนาคาร เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่อาจทำให้วัฏจักรสินเชื่อกำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง คือ 1.หนี้ครัวเรือนของไทยที่ปรับสูงขึ้นเกินกว่า 80% ของ GDP เป็นระดับที่เริ่มจะส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจ 2.การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยในปัจจุบันปรับสูงขึ้นมากกว่ารายได้ และ 3.ปัญหาหนี้เสียในประเทศที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการเติบโตของสินเชื่อเริ่มชะลอลงโดยสินเชื่อในภาพรวมโตได้เพียง 0.6% ในไตรมาส 1 ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ และจะทำให้แนวโน้มการบริโภคสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ ชะลอตัวลงตาม
3.การเปิดเมืองของจีนไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีตามที่ตลาดคาด โดยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดทั้งการบริโภคและการลงทุนของจีนมีสัญญาณชะลอตัว KKP Research ประเมินว่าการชะลอตัวนี้มีส่วนสำคัญมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยใน 2 มิติ คือ ประการแรก นักท่องเที่ยวจีนมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาได้ไม่ถึง 5 ล้านคน ตามที่คาดไว้โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ที่ออกมาเที่ยวยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูงที่เลือกเดินทางไปประเทศในแถบยุโรปมากกว่าอาเซียน ประการที่สอง การส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นช้า โดยยังคงประมาณการว่าการส่งออกทั้งปีของไทยจะติดลบที่ -3.1%
ทั้งนี้ เงินเฟ้อไทยปรับตัวลงเร็วกว่าที่ประเมินสะท้อนเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้า แม้ในช่วงต้นปีจะมีความกังวลว่า ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศไทยะค้างอยู่ในระดับสูงจากเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการส่งผ่านราคาจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคอย่างไรก็ตาม ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่ประเมินไว้ค่อนข้างเร็ว KKP Research ประเมินว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าคาดสะท้อนว่าเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศไม่ได้เติบโตได้แข็งแกร่งมากนักในช่วงที่ผ่านมาแม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม และมีการปรับประมาณการตัวเลขเงินเฟ้อในปี 2023 ลดลงเหลือเพียง 1.8%
แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงแสดงความกังวลด้านเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้นในอนาคต แต่เศรษฐกิจไทยที่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนทำให้ KKP Researchประเมินว่าความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นมีน้อยและคงการคาดการณ์เดิมว่า ธปท. จะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นได้อีกแค่ 1 ครั้งไปที่ 2.25% ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับขึ้นสูงและยาวนานกว่าที่ตลาดคาด ความแตกต่างของสถานการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ จะเพิ่มความเสี่ยงให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าที่ตลาดประเมินได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 โดย 2 ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ 1) ภาคการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด 2) ทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยและส่งผลต่อการคาดการณ์ของตลาด
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังจากนี้ยังต้องระวังความเสี่ยงอีกอย่างน้อย 3 เรื่องและจะทำให้เศรษฐกิจปรับตัวชะลอลงรุนแรงกว่าที่คาดได้มาก คือ 1.สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป คือ อัตราเงินเฟ้อที่สูงและดอกเบี้ยขาขึ้น จะกระทบต่อภาวะการเงินและภาระหนี้ในไทย ซึ่งอาจทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะการลดหนี้ หรือ Deleveraging cycle 2.เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัว แต่จากข้อมูลในอดีตความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากที่สุดยังมีอยู่ในช่วงกลางถึงปลายปี 2024 และจะกลับมากระทบกับภาคต่างประเทศของไทยได้ 3.ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะในกรณีเลวร้าย เช่น หากมีการชุมนุมประท้วง ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทย
KKP Research
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี