nn ในงานสัมมนา “Thailand Economic Outlook 2024 Change the Futuer Today” นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “โอกาส ก้าวหน้าความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2024” ใจความตอนหนึ่งระบุว่า เศรษฐกิจไทย มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการบริโภคในประเทศ ไตรมาส 2 นับว่าเติบโตค่อนข้างดีมีสัดส่วน 7.8% สูงสุดในรอบ 20 ปี และ ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้นต่อเนื่องถึงปีหน้า จากการฟื้นตัวท่องเที่ยว และจะเป็นภูมิคุ้นกันที่แข็งแกร่งสำหรับไทยที่จะรับมือกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ
ในเวทีเดียวกันนี้ นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านการตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังได้กล่าวในเวทีสัมมนาในหัวข้อ “พลังเอกชน ปักธง ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ว่า ททท. ตั้งเป้าหมายยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 25-30 ล้านคนเพราะขณะนี้ นักท่องเที่ยวยังเดินทางเข้ามาต่อเนื่องนำโดยมาเลเซีย 3 ล้านคน จีนยอดกว่า 2 ล้านคนตามด้วยเกาหลี อินเดีย รัสเซีย สิ่งต้องแก้ไข คือ การอำนวยความสะดวกการเดินทาง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปสถานที่ต่างๆ สะดวกสบาย และรู้สึกมีความปลอดภัย
ยอมรับว่าจากเหตุกราดยิง ห้างสยามพารากอน รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ต้องการสื่อสารให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรับทราบ สาเหตุที่เกิดขึ้น ภาครัฐให้การดูแลช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอย่างไร รวมถึงการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่เมื่อนายกรัฐมนตรี เข้ามาดูแลเรื่องนี้โดยตรง ทำให้ทุกหน่วยงานความมั่นคงร่วมมืออย่างเต็มที่ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ขณะนี้ยังไม่พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงจีน ยกเลิกเที่ยวบินหรือการจองทัวร์มาท่องเที่ยวไทย และมองว่าหากทุกหน่วยงานสร้างความเชื่อมั่น นักท่องเที่ยวต่างชาติยังเชื่อมั่นเดินทางเข้าไทย
ขณะที่ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งเน้นฟื้นฟูการท่องเที่ยวนับเป็นเรื่องสำคัญนับว่าต่างชาติยังสนใจเดินทางเข้าไทย จากยอดจองเที่ยวบิน ของสนามบินสุวรรณภูมิ ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566 เพิ่มสูงขึ้นจาก 3.5 แสนราย เพิ่มเป็น 6.5 แสนราย รวมถึงสนามบินขนาดใหญ่ เช่น ภูเก็ต ยอดจองเที่ยวบินยังสูงต่อเนื่อง จึงต้องปรับเส้นทางการบินไปลงจอดสนามบินหลักให้มากขึ้น
ทอท. ต้องการดูแลสนามบินไม่ให้แออัด จึงได้นำเทคโนโลยี มาตรวจผ่าน ตม. เพื่อจดจำใบหน้า ทั้งการตรวจตั๋วเครื่องบิน ไม่ต้องรอการเช็คอินเป็นเวลานาน ทอท.เดินหน้าปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทุกสนามบิน ทั้งดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต เพื่อรองรับผู้โดยสารในระยะยาวการร่วมมือกับตำรวจ ตม. ติดตามผู้ต้องสงสัย การตระเวนตรวจพื้นที่ในสนามบิน สำหรับการเดินทางแบบยั่งยืน ทอท. มุ่งเน้นมุ่งไปการลดก๊าซเรือนกระจก ได้ประกาศภายใน 4 ปี จะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สร้างแสงอาทิตย์ รถบริการทุกด้านในสนามบิน จะใช้รถไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
ด้าน นางนทพร บุญบุบผา ประธานกรรมการบริหาร บจ. เอ็มพี กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัญหาเด็กกราดยิง ที่สยามพารากอน นับเป็นเรื่องสุขภาพ ไทยจึงต้องเตรียมพร้อม รับมือปัญหาดังกล่าวอีกมาก ปัญหาเจ็บป่วยต้องตรวจวินิจฉัย เพื่อรักษาผู้ป่วยเพราะไทยมีศักยภาพสูงมาก ไทยจึงมีความพร้อมอย่างมากในการรักษา ดังนั้น ทัวร์สุขภาพ จึงต้องดูแลเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ และนักท่องเที่ยวทั่วไป
ขณะที่ นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหารสายการบินไทยแอร์เอเชียกล่าวว่า ขณะนี้เครื่องบิน ที่เคยจอดอยู่จำนวนมากถูกนำมาใช้งานขนส่งผู้โดยสารมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มต่อเนื่อง ปีต่อไปต้องส่งเสริมคนไทยเที่ยวไทยมากขึ้น คาดว่า เครื่องบินที่จอดอยู่ทุกสายการบินในปี’68 จะกลับมาเหมือนเดิม นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 40 ล้านคนหลังจากโควิด-19 คลี่คลาย อยากให้รัฐบาล ส่งเสริมการจัดทำสวนสนุก หรือดิสนีย์แลนด์ แหล่งท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่สร้างขึ้นมาเอง เหมือนกับต่างประเทศ แล้วนำสินค้าโอท็อปมาขาย ผสมกันร่วมกับการท่องเที่ยวธรรมชาติ และการท่องเที่ยวสมัยใหม่ จะเป็นแม่เหล็กดึงการท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าจากเวทีสัมมนาดังกล่าว หลายฝ่ายก็จะพยายามชี้ให้เห็นแนวทางต่างๆ ที่จะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว เพราะว่าเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นด้วย แต่ผลจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนนั้น ก็ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบด้านลบไม่เลยทีเดียว โดย นายกิตติ พรศิวะกิจนายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย หรือ ATTM เปิดเผยถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่า จากการประเมินเบื้องต้นในกลุ่มผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว จะมีผลกระทบทางจิตวิทยาที่กังวลต่อเนื่องความปลอดภัยในไทยอาจกระทบยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยหายไปประมาณ 50% ในเดือนตุลาคมนี้ หรือจากคาดไว้ 7 แสนคน เหลือ 3 แสนคน และกระทบใน 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยหายไป 30% ต่อเดือน เท่ากับ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยจะหายไปประมาณ 7.7 แสนคน และหากรวมกับนักท่องเที่ยวชาติอื่น ที่มีเชื้อสายจีน คนในมาเลเซีย หรือ เกาหลีใต้ อาจหายไปบางส่วนดังนั้นมีโอกาสที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยหายไปประมาณ 1 ล้านคน ภายใน 3 เดือนนี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และน่าจะฟื้นตัวอีกครั้งในต้นปีหน้า
ทั้งนี้ผู้ประกอบการทั้งในไทยและในจีน ก็มีการตั้งกลุ่มติดตามสถานการณ์และความเห็นในประเทศจีน ก็พบว่า ข่าวที่ออกไปสร้างความวิตก ถึงกับมีการทำโพลล์ของประชาชนด้วยกันให้แสดงความเห็นการมาเที่ยวไทยพบว่า พูดถึงการครอบครองอาวุธปืนในไทยมีมากแค่ไหน และถามความเห็นว่าจะมาเที่ยวไทยในช่วงนี้หรือช่วงใด จากที่ตรวจดูพบว่า 30-40%ระบุว่าเหตุยิง มีผลต่อการตัดสินใจมาเที่ยวไทย และในสัดส่วนใกล้เคียงกัน แสดงความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยขณะมาเที่ยวไทย ซึ่งบางส่วนยกเหตุการณ์วางระเบิดศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ ที่มีการเสียชีวิต 20 ศพ ปี 2558หรือเรือนำเที่ยวไทยล่มกลางทะเล ปี 2566 ซึ่งแต่ละครั้งสร้างความเสียหายต่อท่องเที่ยวไทยหลายเดือน และสูญเงินจากนักท่องเที่ยวจีนกว่า6 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งสร้างความมั่นใจมากขึ้นว่าเที่ยวเมืองไทยปลอดภัย ไปพร้อมกับออกแคมเปญจูงใจต่างชาติมาเที่ยวไทย เหมือนอย่างแคมเปญเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งเราเคยทำเป็นส่วนลดให้คนไทยเที่ยวไทย 40% แต่กับต่างชาติให้ 20% ก็พอที่จะดึงดูดคนมาเที่ยวไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะอินเดียจะมีเทศกาลดีวารี เป็นเทศกาลจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และเพิ่มวีซ่าฟรีให้กับคนอินเดีย น่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยได้เป็นแสนคนในช่วงนี้ ทดแทนคนจีนที่หายในช่วงเดียวกันนี้
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี