ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค. 2563
ภายใต้เหตุผลที่ว่า การกำหนดรูปแบบใบสั่ง ภายใต้ประกาศฯ ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับชั้น “กฎ” ทำให้ผู้รับใบสั่ง ถูกปิดปากตกเป็นผู้มีความผิด และต้องชำระค่าปรับ โดยมิอาจโต้แย้งหรือดำเนินการประการอื่นได้ และยังมีลักษณะเข้าข่ายเป็นยืนยันว่าผู้รับใบสั่ง เป็นผู้กระทำความผิด ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 29 วรรคสองแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ประกาศซึ่งออกโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่มีผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามท้ายประกาศทั้งสองฉบับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราค่าปรับ ที่กำหนดไว้ในประกาศกำหนดจำนวนค่าปรับฯ มีลักษณะ เป็นอัตราตายตัวล่วงหน้า ทำให้เจ้าพนักงานจราจรไม่สามารถใช้ดุลพินิจในการเปรียบเทียบปรับให้เหมาะสมแห่งพฤติการณ์ที่กระทำผิดได้ ขัดแย้งต่อเจตนารมณ์และบริบทตามมาตรา 140 วรรคสี่ แห่งพ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายในลำดับชั้นที่สูงกว่า
การออกประกาศทั้งสองฉบับ จึงเป็นการออกกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นกฎลำดับรองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย โดยให้คำพิพากษานี้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศทั้งสองฉบับ (20 ก.ค.2563) และทุเลาการบังคับตามประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
มีข้อสังเกตว่า ในความเห็นของประชาชนทั่วไปจะไม่ต่อสู้คดีจราจร เพราะอาจรู้สึกว่า เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะการที่จะต้องไปศาล เพื่อต่อสู้คดีทั้งที่ปัจจุบันสามารถหาหลักฐานพฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้จากกล้องวงจรปิด เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่า กระทำผิดการจราจรหรือไม่ก็ตาม จึงยอมให้เปรียบเทียบชำระค่าปรับ พร้อมกับความรู้สึกว่า ยังคงค้างคาใจ ปัญหานี้เป็นแรงผลักดันให้หลายฝ่ายเกิดแนวความคิดที่จะจัดการตั้งศาลชำนัญพิเศษ (ศาลพิจารณาคดีจราจร) ที่มีอำนาจพิจารณาคดีการกระทำผิดการจราจร จนพัฒนากลายเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการพิจารณาคดีจราจรไว้เป็นการเฉพาะอย่างเป็นรูปธรรมเลยทีเดียว (อ้างอิง มติ ครม. เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2565 อนุมัติ ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีจราจร พ.ศ. ....)
เจตนารมณ์หลักของคำพิพากษาศาลปกครองนั้น เพื่อคุ้มครองสาธารณประโยชน์และรักษาสิทธิของประชาชนทั่วไป เพราะผลบังคับสามารถใช้บังคับและเป็นบรรทัดฐานอ้างอิงหน่วยงานภาครัฐ (หน่วยงานทางปกครอง) (มาตรา 70 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542) ซึ่งต้องปฏิบัติต่อภาคสาธารณชนและประชาชน ด้วยความชอบธรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง พ.ศ. 2539
ผลบังคับตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีนี้ซึ่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศทั้งสองฉบับตามที่กล่าวข้างต้น และทุเลาการบังคับตามประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งทำให้เข้าใจเป็นนัยในทางปฏิบัติได้ว่า ประกาศทั้งสองฉบับนี้บังคับใช้ไม่ได้เสมือนกับว่าไม่มีประกาศทั้งสองฉบับนี้มาตั้งแต่ต้น (มาตรา 42 พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539) (ถือเป็นโมฆะนั้นเอง) ทำให้บรรดาการกระทำใดๆที่กระทำภายใต้ประกาศทั้งสองฉบับนี้ เกี่ยวโยงเป็นโมฆะไปด้วย งดกระทำการใดๆ ตามประกาศสองฉบับนี้ ไปก่อนจนกว่า จะสิ้นสุดกระบวนพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการออกใบสั่งของสิทธิสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็คือ บรรดาค่าปรับตามใบสั่งที่เรียกให้ชำระจากผู้กระทำผิด (หรือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามแนวคำพิพากษาคดีปกครองนี้ ) ตามอัตราค่าปรับจำนวนแน่นอนตามประกาศฯ (ซึ่งเป็นโมฆะ) ซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ยวดยานทั้งหลายทั่วทั้งประเทศ (โดยเฉพาะเป็นกรณีย้อนหลังถึงวันที่ออกประกาศ) สำหรับในส่วนที่ชำระแล้ว จะต้องคืนให้แก่ผู้ชำระอย่างไร? จะต้องเบิกงบประมาณจากคลังเพื่อส่งคืน เงินเปอร์เซ็นต์จากค่าปรับที่จ่ายเป็นสวัสดิการให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ไปแล้วก็จะต้องเรียกคืน แล้วจะเรียกคืนอย่างไร ? ฝ่ายผู้มาขอรับคืนจะคืนโดยนำใบเสร็จค่าปรับมาแสดงขอคืนกับแผนกการเงินรับชำระค่าปรับ (หรือติดเป็นเครดิตค่าปรับสำหรับการกระทำผิดครั้งต่อไป) ส่วนที่ยังค้างชำระตามกำหนดหรือเลยกำหนด ถือว่า เป็นโมฆะ ไม่ต้องชำระ หรือในส่วนที่เป็นผู้กระทำผิดที่ได้รับใบสั่งมาแล้ว แต่ยังไม่ถึงกำหนดชำระนั้น จะได้รับยกเว้นไปโดยปริยาย ไม่ต้องชำระหรืออย่างไร? หรือหากบุคคลที่ว่ากระทำตัวเป็นพลเมืองดีนำไปชำระค่าปรับตามกำหนดในใบสั่ง ฝ่ายการเงินที่รับชำระค่าปรับจะรับชำระหรือไม่? หรือเมื่อรับเงินค่าปรับจะออกใบเสร็จและเก็บเพื่อนำส่งคลังตามระเบียบปกติจะได้หรือไม่?
เหล่านี้เป็นเพียงปัญหาในทางปฏิบัติภายในข้าราชการของ สตช.เอง อันเป็นเหตุผลให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องกำหนดมาตรการปฏิบัติให้แก่บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อมิให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติหน้าที่ อันมีลักษณะเข้าข่ายในทางที่ขัดต่อคำสั่งศาลปกครองตามข่าว (ซึ่งอาจมีผลให้ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลปกครอง (มาตรา 75/49 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2559)
ในตามเป็นจริง คงไม่มีใครติดใจเรียกร้องค่าปรับจราจรที่ชำระไปแล้วคืน เพราะถือว่า เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่
กรณีที่เกิดขึ้น ควรถือเป็นกรณีศึกษา กรณีทางราชการจะออกกฎระเบียบข้อบังคับใดๆ ควรใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี