nn เหตุการณ์เพลิงไม้โกดังเก็บกากอุตสาหกรรมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ โรงงานคัดแยกและกำจัดกากอุตสาหกรรม ที่ จ.ชลบุรี ทำให้สังคมกลับมาให้ความสนใจกับโรงงานประเภทนี้และได้รับรู้ว่ามีโรงงานประเภทนี้อยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจาก นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า ปัจจุบันมีการยื่นขอรับใบอนุญาต ร.ง.4 เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จำนวน 187 คำขอ โดยกว่า 66% หรือ 123 คำขอ เป็นคำขอรับใบอนุญาต ร.ง.4 โรงงานลำดับที่ 105 และ 106 ซึ่งเป็นโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่เป็นของเสียอันตราย เช่น การคัดแยก หลุมฝังกลบ ทำเชื้อเพลิงผสม ทำเชื้อเพลิงทดแทนจากน้ำมันและตัวทำละลายใช้แล้ว สกัดแยกโลหะ ถอดแยกบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลอมตะกรัน รีไซเคิลกรดด่าง ฯลฯ นอกจากนี้คำขอรับใบอนุญาต ร.ง.4 ของผู้ประกอบการรับกำจัดกากอุตสาหกรรมบางรายมีสาระสำคัญบางประการที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ เช่น พื้นที่จัดเก็บหรือจัดวางวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ สารเคมีและวัตถุอันตรายมีความไม่เหมาะสม มีการจัดทำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยไม่ครอบคลุมทุกกระบวนการผลิต ระบบบำบัดมลพิษน้ำและอากาศไม่เหมาะสมกับมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิต เป็นต้น
ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการอนุญาตให้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ (นอกนิคมฯ) จำนวน 2,598 โรงงาน เพิ่มขึ้นกว่า 23% เมื่อเทียบกับปี 2565 และเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปี 2565 และหากพิจารณาเฉพาะปี 2567 ก็พบว่ามีการลงทุนตั้งและขยายโรงงานอุตสาหกรรมนอกนิคมในช่วง 4 เดือนแรกของปีแล้วกว่า 170,000 ล้านบาททั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“โรงงานที่รับกำจัดกากอุตสาหกรรม เป็นกลุ่มโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง มักพบปัญหาถูกร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการประกอบกิจการที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต แหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม ทั้งการปล่อยน้ำเสีย กลิ่นเหม็น ฝุ่นควัน รวมทั้งการตรวจพบโรงงานที่ไม่จัดการกากอุตสาหกรรมที่รับมาดำเนินการอย่างถูกต้อง ดังเช่นที่เป็นข่าวในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยอง ราชบุรี เป็นต้น”นายจุลพงษ์ กล่าว
ต่อเนื่องในประเด็นนี้ล่าสุด ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ถอดบทเรียนการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำเสนอเป็นความรู้ให้กับหน่วยงานต่างที่เกี่ยวข้องนำไปปรับใช้ โดยได้ระบุว่า ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมมาตั้งแต่อดีตสมัยเริ่มยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และมีปัญหามลพิษจากกากของเสียและสารอันตรายจากอุตสาหกรรมมาก จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ปัญหาและการจัดการปัญหาในอดีต เช่น กรณี โรคมินามาตะจากการปนเปื้อนสารปรอท โรคอิไตอิไตจากการปนเปื้อนสารแคดเมียม เป็นต้น หลังจากนั้นประเด็นสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นประเด็นสำคัญของประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไปพร้อมๆ กับการพัฒนาระบบบริหารจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอย่างในอดีต จนกลายเป็นประเทศชั้นนำในการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและสารพิษต่างๆ
ประเด็นสำคัญที่ได้เรียนรู้จากประเทศญี่ปุ่นที่ได้ดำเนินการจัดการแยกหน่วยงานที่กำกับ อนุมัติ อนุญาต กิจการโรงงานอุตสาหกรรม กับการดูแลสิ่งแวดล้อมออกจากกัน โดยโรงงานอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอนุมัติ อนุญาต ส่วนปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม การจัดการ การกำกับดูแล อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความสมดุลและธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ ญี่ปุ่นมีการจัดการกากของเสียและสารพิษมีระบบที่ชัดเจน ทั้งประเภทของกากของเสียหรือสารพิษต่างๆ ที่เกิดขึ้นการอนุมัติ การอนุญาต การเคลื่อนย้ายและขนส่ง ระบบการติดตามและรายงาน การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ตลอดจนความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ ที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีระบบบำบัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูง การบำบัดและกำจัดที่ครบวงจร เปิดเผยและตรวจสอบได้
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการของเสีย ให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ครั้งล่าสุดได้มีโอกาสไปดูงานและหารือความร่วมมือในการขับเคลื่อนแผนแม่บทการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและการนำการวิจัยและเปลี่ยนนักวิจัยด้านการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมกับศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการของเสีย (Hub of Talents on Waste Management)
ดร.วิจารย์กล่าวอีกว่า การตรวจเยี่ยม Tokyo Water Front Eco Clean มีโรงงานกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรม โรงงานกำจัดขยะติดเชื้อ และโรงงานจัดการซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีหลักการนำของเสียที่ใช้ประโยชน์ได้ให้มากที่สุดที่เหลือไปจัดการตามคุณสมบัติของของเสีย โดยระบบการเผาที่มีประสิทธิภาพสูง ที่ใช้ระบบปิดและระบบบำบัดมลพิษ ที่ระดับอุณหภูมิสูงพอที่จะไม่ให้เกิดสารพิษประเภทสารก่อมะเร็ง เช่น ไดออกซิน และฟิวแรน เมื่อมีกากของเสียเกิดขึ้นสุดท้ายก็จะมีการทดสอบและนำไปใช้ประโยชน์หรือถมพื้นที่ทะเล และการหารือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม ในประเด็นต่างๆ เช่น การช่วยประเทศไทยในการจัดทำแผนแม่บทการจัดการกากอุตสาหกรรมของประเทศไทย การยกระดับการควบคุมการอนุญาตนำเข้า/ส่งออกของเสียอันตรายระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ตามอนุสัญญาบาเซล (Basel Convention) และ แนวทางการออกกฎหมาย จัดการซากผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ในส่วนของประเทศไทยแม้จะมีกฎหมายที่เข้มงวดและชัดเจนในหลายประเด็น ทั้งกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม กฎหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข เป็นต้น ที่ได้กำหนดชนิดและขนาดโรงงาน การควบคุมการปล่อยของเสียหรือมลพิษ การกำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแล ผู้ปฏิบัติงานประจำ และการกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ควบคุมดูแลระบบจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการขนส่ง เคลื่อนย้าย การจัดการต้องเป็นไปอย่างถูกต้องแต่ในช่วงหลังๆ จะมีปัญหาการจัดการกากของเสียและสารอันตรายในพื้นที่ต่างๆ เกิดขึ้นถี่และก่อให้เกิดความสูญเสียจำนวนมาก กรณีการลอบวางเพลิง กรณีโรงกลั่นไฟไหม้ สารอันตรายรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ ปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นก็จะเพิ่มตามไปด้วย ในขณะที่ระบบการจัดการกากของเสียมีอยู่จำกัดประกอบกับระบบการอนุมัติ อนุญาต การติดตาม ประเมินผลการดำเนินการยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แม้กระทั่งการรายงานชนิดและปริมาณกากของเสียจากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ทำให้กากของเสียที่มีเอกชนรับบำบัดกำจัดถูกทิ้งในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่เอกชน รวมทั้งในสถานประกอบการที่ไม่มีระบบจัดการที่ดี จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และหากการเกิดเพลิงไหม้ ความสูญเสียและผลกระทบก็สูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะสารไวไฟและสารพิษต่างๆ ประกอบกับในช่วงอุณหภูมิอากาศที่สูงขึ้น
“โรงงานอุตสาหกรรมประเภท 101 ประเภท 105 และประเภท 106 ที่เกี่ยวกับการรีไชเคิล การรับจัดการของเสีย แม้ที่ผ่านมาจะมีการผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปบ้าง เพื่อส่งเสริมให้มีโรงงานจำนวนมากทันต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นโรงงานที่มีความอ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน จึงจำเป็นจะต้องมีการทบทวน วางกฎเกณฑ์ ระบบตรวจสอบและควบคุมที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ นี่เป็นจังหวะและโอกาสที่ประเทศไทยจะต้องทบทวนการดำเนินการเพื่อให้เกิดความสมดุลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการยอมรับและลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ดร.วิจารย์ กล่าว
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี