nn สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์รายงานตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/2567 ขยายตัว 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือเพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.1%( QoQ) สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งประเมินว่าจะเติบโตที่ 0.8%YoY อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขที่รายงานล่าสุดนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่ำ โดยเติบโตต่ำกว่า 2.0% ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 4 การรายงานเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ด้านรายจ่ายในไตรมาสที่ 1/2567
ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การอุปโภค-บริโภคเอกชนขยายตัว 6.9% ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่เติบโต 7.4% สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องของภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยหนุนการจ้างงาน รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส ส่งผลให้การใช้จ่ายในหลายหมวดขยายตัวดี โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดบริการที่เติบโตสูงถึง 13.7% เช่นเดียวกับการใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนที่ขยายตัว 4.7% สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รวมถึงหมวดสินค้ากึ่งคงทนซึ่งขยายตัว 3.3% สูงกว่าไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดี สินค้าหมวดคงทนหดตัว 6.8% สูงสุดในรอบ 10 ไตรมาส ตามการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะที่ลดลงถึง 13.9% ด้วยแรงกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือนและมาตรการด้านสินเชื่อที่เข้มงวด 2.การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลหดตัว 2.1% ติดลบต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากรายจ่ายเงินโอนเพื่อสวัสดิการสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการ และรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการที่ลดลง 10.7% และ 7.6% ตามลำดับ
3.การลงทุนรวมหดตัว 4.2% ติดลบแรงขึ้นจาก 0.4% ไตรมาสก่อน จากการลงทุนภาครัฐที่หดตัวมากขึ้น 27.7% ทั้งยังปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ปัจจัยหลักจากกระบวนการงบประมาณปี 2567 ซึ่งใช้เวลานานกว่าคาด ส่งผลให้อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาลต่ำเพียง 5.2% ซึ่งน้อยกว่าไตรมาสก่อน ทั้งยังกระทบต่อการผลิตสาขาก่อสร้างในฝั่งอุปทานที่หดตัว 17.3% ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2543 ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงสู่ 4.6% ตามความต้องการในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือที่อ่อนแอลงตามภาวะการส่งออก 4.มูลค่าการส่งออกสินค้าติดลบ 2.0% หดตัวอีกครั้งหลังจากฟื้นกลับมาขยายตัวได้เมื่อไตรมาสก่อน โดยปริมาณการส่งออกหดตัว 2.3% สำหรับสินค้าหลักที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ ทุเรียน น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ ยานยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น 5.การส่งออกบริการขยายตัว 24.8% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งเติบโตที่ 14.9% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะระดับ 9.4 ล้านคน อานิสงส์จากมาตรการฟรีวีซ่าได้ส่งผลให้รายรับภาคการท่องเที่ยวแตะระดับ 3.71 แสนล้านบาท
โดยสรุปเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ชะลอตัวลงจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐและการส่งออกสินค้า จีดีพีไตรมาส 1/2567 ขยายตัว 1.5%YoY ชะลอจากไตรมาส 4/2566 ที่ขยายตัว1.7%YoY โดยปัจจัยสำคัญมาจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐซึ่งหดตัวจากกระบวนการงบประมาณประจำปี 2567 ที่นานกว่าคาด ซึ่งฉุดจีดีพีไตรมาสที่ 1 ลงราว 2.2% และการส่งออกสินค้าที่กลับมาหดตัวทั้งมูลค่าและปริมาณ หลังจากที่ขยายตัวได้ในไตรมาสที่ 4 การนำเข้ายังคงขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นทำให้เม็ดเงินไหลออกนอกประเทศและเป็นอีกปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่าน
ทั้งนี้สภาพัฒน์ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวได้ในช่วง 2.0-3.0% มีค่ากลางที่ 2.5% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.2-3.2% มีค่ากลางที่ 2.7% โดยมีปัจจัยกดดันเศรษฐกิจจาก (1) การส่งออกสินค้าที่คาดว่ามูลค่าการส่งออกจะเติบโตได้ที่ 2.0% (ต่ำกว่าเดิมมองไว้ที่ 2.9%) จากการปรับลดปริมาณการส่งออกสินค้าที่ขยายตัว 1.5% (ต่ำกว่าเดิมมองไว้ที่ 2.4%) ตามการปรับตัวลดลงของปริมาณการส่งออกในไตรมาสที่ 1 และการปรับลดสมมติฐานการขยายตัวของปริมาณการค้าโลก และ (2) การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2%(ต่ำกว่าเดิมมองไว้ที่ 3.5%) เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงผลกระทบจากการส่งออกที่อาจชะลอตัวกว่าคาด
ขณะเดียวกัน Krungthai COMPASS ธ.กรุงไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตได้ 2.3% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้ 2.7% สอดคล้องกับมุมมองของสภาพัฒน์ที่ปรับลดกรอบประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลง โดย Krungthai COMPASS มีมุมมองสอดคล้องกับสภาพัฒน์ที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้จาก 1.มูลค่าการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตได้เพียง 0.5%ปรับลดลงจากเดิมที่มองไว้ 1.8% เนื่องจากการค้าโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาด สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ปรับลดคาดการณ์ปริมาณการค้าโลกลงเหลือเพียง 3.0% จากเดิมที่ 3.3% อีกทั้งสินค้าส่งออกของไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ และ 2. การลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบของภาคการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวได้ช้า ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มจะเข้ามาเป็นจำนวน35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่34 ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของสภาพัฒน์ที่ปรับเพิ่มการคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม Krungthai COMPASS มีมุมมองต่อแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนที่แตกต่างจากสภาพัฒน์ โดยเราประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มเติบโตได้ใกล้เคียงประมาณการเดิมราว 3% เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงอาจกดดันกำลังซื้อของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า สะท้อนจากการใช้จ่ายสินค้าหมวดคงทนในไตรมาสที่ 1 ที่หดตัวสูงจากการซื้อยานพาหนะที่ลดลง 13.9% YoY
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลดทอนความสามารถในการแข่งขัน หากเทียบดัชนี Real GDP กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคแล้ว ไทยใช้เวลานานกว่าในการพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ระดับเดิมก่อนการแพร่ระบาดเมื่อปี 2562 โดยดัชนีจีดีพีของไทยเพิ่งกลับสู่ช่วงก่อนโควิด-19 ได้เมื่อไตรมาสที่ 3/66 ขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างปรับตัวได้เร็วกว่า โดยกลับสู่ระดับปกติตั้งแต่ช่วงปี 2564-2565 แล้ว กลุ่มประเทศเหล่านี้ยังสามารถรักษาทิศทางการเติบโตที่สูงกว่าไทยได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ปัจจัยสำคัญมาจากการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งการท่องเที่ยวของนักเดินทางชาวต่างชาติและการส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งต้องเผชิญแรงกดดันจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า เช่น การฟื้นตัวที่เปราะบางของจีนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ อีกทั้งจีนยังจำเป็นต้องส่งออกสินค้าราคาถูกไปตีตลาดในหลายประเทศรวมถึงไทย นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าไทยหลายรายการเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ปัจจัยเหล่านี้ยังกระทบต่อภาคการผลิตโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังอ่อนแอ เศรษฐกิจไทยจึงทยอยฟื้นตัวอย่างจำกัดและมีแนวโน้มเติบโตได้ช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค
กระบองพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี