nn หลังจากเห็นตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกแล้ว ก็เริ่มเห็นการสะท้อนภาพ ของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ออกมาจากหลายๆ สำนักวิจัยด้านเศรษฐกิจ ล่าสุด KKP Research ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP)...ระบุว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ 1.การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าและจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี จะส่งผลบวกต่อตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจชั่วคราว โดยการลงทุนภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาหดตัวลงประมาณ 20% ในไตรมาส 4 ปี 2023 และ 30% ในไตรมาส 1 ปี 2024 การใช้จ่ายที่จะกลับมาเป็นปกติจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้นจากปัจจัยด้านฐานต่ำ2.ภาคการผลิตบางส่วนฟื้นตัวได้ตามวัฏจักรสินค้าคงคลังที่ทยอยปรับตัวลดลง เช่น การผลิตอาหาร โดยในภาพรวมการส่งออกไทยยังฟื้นตัวได้ในระดับต่ำ 3.จำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดการณ์นักท่องเที่ยวที่ 35.2 ล้านคน จาก28 ล้านคนในปีก่อน
การที่เศรษฐกิจไทยที่โตได้ต่ำกว่า 3% นับตั้งแต่หลังโควิดมาจนถึงปัจจุบัน นับว่าต่ำกว่าศักยภาพเดิมของเศรษฐกิจอย่างมาก KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยถูกฉุดรั้งจาก 3 ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้สัญญาณทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป คือ 1.การผลิตในภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัจจัยฉุดสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยประเมินว่าการฟื้นตัวของแต่ละอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกันอย่างมาก อุตสาหกรรมกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าเพิ่มทั้งหมด หรือกว่า 10% ของ GDP มีแนวโน้มเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและอุปสงค์โลก ส่งผลให้แม้การส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นแต่สินค้ากลุ่มนี้อาจยังไม่ฟื้นตัว และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมจะยังคงเติบโตติดลบในปีนี้แม้จะทยอยปรับตัวดีขึ้น 2.มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพราะแม้ตัวเลขการส่งออกไทยจะฟื้นตัวขึ้นได้ แต่เศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้ประโยชน์มากเท่าเดิมจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก เนื่องจากการส่งออกบางส่วนเป็นเพียงการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐอเมริกา (re-routing) เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การส่งออก solar panel ซึ่งไม่ได้ผลิตในประเทศไทย3.เศรษฐกิจไทยอาจกำลังเข้าสู่วัฏจักรการจ่ายหนี้คืน(Deleveraging Cycle) สะท้อนจากยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ที่หดตัวลงต่อเนื่อง เป็นผลมาจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมากในปัจจุบันและรายได้ครัวเรือนที่เติบโตช้าส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ การชะลอตัวส่งผลให้แม้การบริโภคในภาพรวมขยายตัวได้ดีขึ้นจากภาคบริการ แต่การบริโภคสินค้าคงทนโดยเฉพาะการบริโภครถยนต์เติบโตติดลบอย่างหนักและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
แม้ในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตของ GDP จะยังคงเป็นบวก นักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวดังกล่าวสะท้อนภาพที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละภาคส่วน โดยยังมีหลายภาคเศรษฐกิจที่ยังหดตัวหรือเติบโตได้ช้าอย่างมีนัยสำคัญ โดย KKP Research พบว่า 1.เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนด้วยภาคบริการเป็นหลัก โดยในช่วงหลังโควิดเป็นต้นมาในระหว่างปี 2021-2024 การผลิตในภาคบริการเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.0% เทียบกับภาคการผลิตที่ยังเติบโตติดลบ -0.5% ทั้งนี้ การเติบโตของการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรไม่ได้เพิ่งชะลอตัวลง แต่ส่งสัญญาณ
ชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด 2.เศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์จากต่างประเทศเป็นหลักโดยอุปสงค์ในประเทศมีทิศทางชะลอตัวลงมาโดยตลอด เปรียบเทียบกับอุปสงค์ต่างชาติที่นับรวมการส่งออกสินค้าและการส่งออกบริการ (ภาคการท่องเที่ยว) ที่ขยายตัวได้ดีกว่ามากและเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย 3.ภาคการผลิตในหลายส่วนของไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2019กับปัจจุบันแม้ GDP กลับมาที่จุดที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดแล้ว แต่ภาคการผลิตกว่า 66% ของมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตทั้งหมด ณ สิ้นปี 2023 ยังมีปริมาณการผลิตที่อยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนโควิด ปี 2019
การเติบโตที่แตกต่างกันมากในแต่ละภาคเศรษฐกิจกำลังชี้ให้เห็นว่า GDP ที่พอเติบโตได้เป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจในหลายภาคส่วนยังคงอยู่ในทิศทางที่ปรับตัวแย่ลง ในปัจจุบันข้อมูลสะท้อนผลกระทบที่รุนแรงขึ้นจากสัญญาณการปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่เร่งตัวขึ้นมาก โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2023 ถึงปัจจุบันมีโรงงานปิดตัวลงไปแล้วกว่า 1,700 แห่ง เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีโรงงานปิดตัวประมาณ 1,100 แห่งโดยยอดการปิดตัวเร่งขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2023 สอดคล้องกับดัชนีการผลิตที่อ่อนแอลง นอกจากนี้ข้อมูลยังสะท้อนการจ้างงานที่ชะลอตัวลงในเกือบทุกหมวดอุตสาหกรรมหากเปรียบเทียบกับการจ้างงานในช่วงก่อนโควิด ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงที่เริ่มเห็นได้ชัดขึ้นสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยในหลายกลุ่มโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ และตอกย้ำความสำคัญของการแก้ไขปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิตให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ขณะที่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ(SCB EIC) ของธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) ระบุว่า SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 (ไม่รวม Digital wallet) เหลือ2.5% (เดิม 2.7%) แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกออกมาขยายตัวดีกว่าคาด โดยมีแรงส่งหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาคบริการและการท่องเที่ยวจากการทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ตามมองไปข้างหน้าภาพรวมองค์ประกอบเศรษฐกิจส่วนใหญ่แผ่วลง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งแม้ว่าจะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 ประกาศใช้ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้
สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลายด้าน ได้แก่ 1.การส่งออกขยายตัวจำกัด ส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้ากลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกล รถยนต์และส่วนประกอบ 2.ภาคการผลิตที่ฟื้นตัวช้ายังเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ โดยยังคงมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากสินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง และส่วนหนึ่งจะถูกสินค้าจีนตีตลาดจากปัญหา Overcapacity ของภาคอุตสาหกรรมจีน3.การบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงจากที่เคยขยายตัวได้ดีใน 2 ปีที่ผ่านมา ผลจากรายได้ฟื้นช้าทำให้ครัวเรือนเปราะบางสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่เริ่มมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี