ll ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าได้กลับมาเป็นประเด็นเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่ทั่วโลกและประเทศไทยไม่อาจมองข้าม เนื่องจากเป็นสาเหตุของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ตลอดจนก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง อีกทั้งยังเป็นการทำลายแหล่งกักเก็บและดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ จากข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ระบุว่า พื้นที่ป่าไม้ลดลงเฉลี่ย 5 ล้านเฮกตาร์/ปี หรือราว31 ล้านไร่/ปี จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดขึ้น ทำให้สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ได้มีการประกาศใช้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Regulations:EUDR) เพื่อจำกัดการทำลายป่าที่เกิดขึ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากการทำอุตสาหกรรมป่าไม้ และการเพาะปลูกทางการเกษตร ซึ่งครอบคลุมสินค้า 7 ชนิดที่มีความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ โดยกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Regulations: EUDR) คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับลดการผลิตและการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดไม้ทำลายป่า และทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า โดยมีผลบังคับใช้ในสินค้า 7 ชนิด ได้แก่ 1.วัว 2.กาแฟ 3.โกโก้ 4.ถั่วเหลือง 5.ปาล์มน้ำมัน 6.ยางพารา และ 7.ไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้
ผู้ประกอบการที่จะนำสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ตามที่แสดงรายละเอียดในตาราง มาจำหน่ายใน EU รวมถึงส่งออกไปนอก EU ได้ จะต้องผ่านเงื่อนไขที่สำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1.สินค้านั้นต้องมีที่มาจากแหล่งที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หลังจากปี 2563 เป็นต้นไป 2.สินค้าต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายแรงงานและสิทธิมนุษยชน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และภาษี เป็นต้น และ 3.สินค้าต้องได้รับการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) ตามขั้นตอนที่กำหนดซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ 1.การรวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต (Information collection) 2.การประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า (Risk assessment) และ 3.การจัดทำแนวทางในการลดความเสี่ยง (Risk mitigation) โดยผู้ประกอบการใน EU จะต้องส่งรายงานการตรวจสอบ (Due Diligence Statement) ก่อนจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้า
มาตรการ EUDR มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 29 มิ.ย. 2566 แต่ยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม อีกทั้งยังอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อระบุความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศต้นทางที่ส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการมายัง EU โดยในช่วงปลายปีนี้คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จะประกาศรายชื่อประเทศตามความเสี่ยงด้านการตัดไม้ทำลายป่า3 ระดับ คือ ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงมาตรฐานและความเสี่ยงต่ำ โดยในแต่ละกลุ่มประเทศจะถูกตรวจสอบว่าปฏิบัติตามเงื่อนไขของ EUDR หรือไม่ สำหรับการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำ จะมีการสุ่มตรวจ 1% ของจำนวนผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาจำหน่ายใน EU ขณะที่การนำเข้าจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงมาตรฐานและสูงจะถูกสุ่มตรวจที่ 3% และ 9% ตามลำดับ โดยมาตรการ EUDR จะมีผลในทางปฏิบัติ วันที่30 ธ.ค. 2567 สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ใน EU และในระยะต่อมาจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SME) ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2568
Krungthai COMPASS มองว่าผู้ประกอบการยางพาราของไทย มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ EUDR มากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในสินค้าอีก 6 ชนิด จากการวิเคราะห์ 2 ปัจจัยหลักคือ1.มูลค่าการส่งออกสินค้าไปยัง EU และ2.ความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านมูลค่าการส่งออกเป็นสำคัญ โดยยางพาราเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปยัง EU มากที่สุดในบรรดาสินค้า 7 ชนิดในปี 2566 ที่มีมูลค่ารวมกัน 1,322 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 48,305 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 93.4% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจากไทยไป EU ขณะที่สินค้าอีก 6 ชนิด มีมูลค่าการส่งออกรวมกันเพียง 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,438 ล้านบาทหรือคิดเป็นเพียง 6.6%
หากประเมินผลกระทบต่อผู้ประกอบการยางไทย เมื่อ EUDR มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ Krungthai COMPASS คาดว่าหาก EUDR มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการยางไทยมีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบทั้ง1.การผลักภาระต้นทุนในการทำ Due Diligenceของผู้นำเข้าฝั่ง EU มายังผู้ประกอบการไทย และ 2.ปริมาณส่งออกที่ลดลง จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกสินค้ายางพาราไปยัง EU โดย ผลกระทบจากภาระต้นทุนในการทำ Due Diligence นั้นผู้นำเข้าฝั่ง EU มีโอกาสที่จะผลักภาระต้นทุนในการทำ Due Diligence มายังฝั่งประเทศผู้ส่งออก ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออกยางพาราไทย จากรายงาน Impact Assessment โดยคณะกรรมาธิการยุโรป ประเมินว่า จากผลของมาตรการ EUDR ผู้ประกอบการ EU ที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าทั้ง 7 ชนิดจะต้องมีภาระต้นทุนในการลงทุนระบบการทำ Due Diligence ในครั้งแรกราว 5,000-90,000 ยูโร/ผู้ประกอบการและมีต้นทุนในการจัดทำรายงาน Due Diligenceทั้ง 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง 2) การประเมินความเสี่ยง และ 3) การจัดทำแนวทางในการลดความเสี่ยง คิดเป็น 0.29-4.30% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้า หากประเมินการส่งผ่านต้นทุนโดยคิดเป็นสัดส่วนเดียวกันเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกสินค้ายางพาราที่อยู่ภายใต้มาตรการไปยัง EU ผลกระทบจะมีมูลค่ากว่า 4-64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือคิดเป็น 158-2,338ล้านบาท/ปี
ส่วน ผลกระทบจากปริมาณส่งออกที่ลดลง จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนั้นประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงมาตรฐานถึงสูงในการตัดไม้ทำลายป่ามีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและอาจหลุดออกจากห่วงโซ่อุปทาน จากการที่ผู้นำเข้าฝั่ง EU มีแนวโน้มที่จะหันไปนำเข้ายางพาราจากประเทศที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาระงานในการจัดทำรายงาน Due Diligenceที่น้อยกว่าและผลประโยชน์ด้านการประหยัดต้นทุน สำหรับกรณีของประเทศไทย ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยางพาราของไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากดัชนีปริมาณการส่งออกสินค้ายางพาราที่สำคัญของไทยจะเห็นว่าสินค้าเกือบทุกกลุ่มมีปริมาณการส่งออกลดลง ยกเว้นสินค้าในกลุ่มถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางเภสัชกรรม
มาตรการ EUDR เป็นเพียงหนึ่งในความท้าทายของอุตสาหกรรมยางไทย ท่ามกลางเวทีการค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในระยะข้างหน้าคาดว่าการนำหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นเงื่อนไขหรือข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น จำเป็นที่ผู้ประกอบการยางไทยต้องก้าวให้ทันกับมาตรฐานและมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาบทบาทการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางของโลก
ดังนั้นผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าทั้ง 7 ชนิด รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ควรเตรียมความพร้อมโดยเริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรการ EUDR เช่น มีเอกสารสิทธิถูกต้องในการถือครองตามกฎหมายในที่ดิน ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน และรับซื้อผลผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการรวมถึงภาครัฐต้องติดตามและให้ความสำคัญกับมาตรฐานและมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่มีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้เป็นเงื่อนไขหรือข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและช่วยลดอุปสรรคทางการค้า
Krungthai COMPASS
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี