การแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของปลาหมอคางดำ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron) ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์เดียวกับปลานิล หมอเทศ หมอสีต่างๆ กำลังขยายพันธุ์แพร่ ยึดพื้นที่หนองน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประเภท กุ้ง ปู ปลา ที่ใช้ประกอบอาหาร ทำให้กลุ่มเกษตรกรสัตว์น้ำเดือดร้อนไปทั่ว
ปลาหมอคางดำเป็นปลาสายพันธุกรรมจากประเทศ กานา ในทวีปแอฟริกา ได้รับอนุญาตให้นำเข้าประเทศไทยเมื่อประมาณ 14 ปีที่ผ่านมา เป็นปลาที่มีความอึดทน มีลำไส้ยาวมากกว่าลำตัวของตัวถึง 4 เท่า มีผลทำให้กินอาหาร ได้ตลอดเวลา และแพร่พันธุ์ได้ อย่างรวดเร็ว ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของแหล่งน้ำในประเทศไทย ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม จนเกิดความกังวลแก่หลายฝ่ายว่า ปลาหมอสายพันธุ์นี้จะทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของไทยและอาจลุกลามไปยังแหล่งน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน
ปลาหมอคางดำได้แพร่กระจายไปในหลายจังหวัดในประเทศไทย สร้างความเสียหายให้แก่ เกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยง ปลาและกุ้ง ตลอดจนทำลายสิ่งแวดล้อมโดยการกินปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หากไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง
ในอดีตที่ผ่านมา ได้เคยมีสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมจากต่างประเทศ เข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสร้างความเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศของประเทศไทย เช่น
ผักตบชวา แม้แต่ชื่อยังบ่งบอกแหล่งที่มาว่า มาจากประเทศอินโดนีเซีย, หอยเชอรี่ ที่ติดมากับตู้ปลาซึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อรักษาสมดุลในตู้ปลานั้น แต่ได้หลุดออกมาเข้าไป ในระบบนิเวศ และกัดกินต้นข้าวที่ปลูกจนสร้างความเสียหายในวงกว้าง ได้กลายเป็นอาหาร, ตั๊กแตนปาทังก้า ที่สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกร จนกลายเป็นแมลงทอดที่เป็นอาหาร, แมลงสาบมาดากัสการ์ขนาดใหญ่ ที่มีผู้ลักลอบนำเข้าเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นพาหะนำเชื้อโรคแบคทีเรีย และพยาธิตัวจี๊ดหลายชนิด ในที่สุดแมลงสาบนี้จำนวน 500 ตัว ได้ถูกทำลายโดยการเผาทั้งหมด
ตามกฎหมายไทย การลักลอบนำเข้าและจำหน่าย ปลาแปลก ปลาสวยงาม และปลาหายาก กรมประมงได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ตาม
พระราชกำหนดการประมง 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 64 ในข้อหา ครอบครองสัตว์น้ำที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ หรือต่อสัตว์น้ำอื่น สิ่งแวดล้อมของสัตว์น้ำ ทรัพย์สินของบุคคลหรือสาธารณสมบัติ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ที่แพร่ระบาดและสร้างความเสียหายอยู่ในขณะนี้ ได้มีผู้เสนอให้ตรวจสอบ DNA จากซากปลาที่ขออนุญาตนำเข้าเมื่อ 14 ปี ที่แล้ว และอ้างว่าถูกทำลายหมดแล้ว กับปลาหมอคางดำ ที่กำลังแพร่ระบาดว่า มี DNA ตรงกันหรือไม่ และสืบเชื้อสายเดียวกันหรือไม่
แต่ด้วยการที่ระยะเวลาผ่านไปนานมาก จนไม่สามารถยืนยันได้ว่า กรมประมงได้เก็บหลักฐานไว้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเคยมีเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้มาก่อน และบริเวณที่ฝังซากปลาที่ถูกทำลายได้เป็นที่ก่อสร้างอาคารใหม่ไปแล้ว
มีข้อสังเกตว่า ระยะเวลาที่ผ่านมานานถึง 14 ปีกับอัตราการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว ของปลาหมอคางดำในช่วงระยะหลังที่ผ่านมานี้
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดอยู่ เป็นปลาหมอคางดำ ที่นำเข้ามาในช่วงหลังหรือไม่ และเหตุใดกรมประมงจึงไม่รับทราบและไม่รู้เห็นการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ตลอดจนไม่แก้ไขปัญหาอย่างจริงจังตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก แต่กลับปล่อยปละละเลย ให้แพร่กระจายจนเกิดความเสียหายแล้ว หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จึงเริ่มแก้ไขปัญหา
ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้การยางแห่งประเทศไทย รับซื้อปลาหมอคางดำ กิโลกรัมละ 15 บาท เพื่อทำน้ำหมักชีวภาพ
สอดคล้องกับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ประกาศรับซื้อปลาหมอคางดำ จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท เพื่อส่งเสริมให้คนจับปลาหมอคางดำมาขาย
มาตรการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เหมือนกับเป็นเรื่องดี แต่อาจไม่ดีจริง เพราะอีกด้านหนึ่งกลายเป็นการส่งเสริมให้มีผู้ลักลอบจับปลาหมอคางดำมาเพาะพันธุ์ เพื่อขาย เพราะเลี้ยงง่าย แพร่พันธุ์เร็ว และมีผู้รับซื้อที่แน่นอน สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
มาตรการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ อาจวนกลับมาที่เดิมแบบโอละพ่อ จนจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ที่แน่ๆ ประชาชนเดือดร้อน สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศได้เสียไปแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี