ll ทองคำ..คือสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีผลตอบแทนที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย แต่ก็นับได้ว่าเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำมากที่สุดประเภทหนึ่ง ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน
ทองคำ จะได้รูปแบบของส่วนต่างของมูลค่าทองคำที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มักจะพร้อมกับการเคลื่อนไหวของตลาดเงินและตลาดทุน ตลอดจนความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นในมิติอื่นๆ อย่างเช่น ในภาวะสงคราม หรือกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และในปี 2567 นี้ ราคาทองคำจะได้แรงสนับสนุนคือการเริ่มต้นวงจรดอกเบี้ยขาลงของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตลาดคาดว่าหากลด 0.50% ก็มีโอกาสเห็นราคาทองคำทำสถิติใหม่อีกครั้ง ซึ่งหากผ่าน 2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ มีโอกาสเห็นพุ่งแตะ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองคำต่อเนื่อง ล่าสุดครึ่งปีซื้อ 483 ตัน สูงกว่าครึ่งปีก่อน อีกทั้งปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์โลกยังน่ากังวลและยืดเยื้อ ด้านทองไทยมีแรงกดดันจากค่าเงินบาท ที่แข็งค่า ซึ่งมีโอกาสที่ปีนี้จะได้เห็นที่ 43,000 บาทต่อบาททองคำ
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) เปิดเผยว่า จากสถิติแล้วภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในเดือนกันยายน ไม่ค่อยสดใสมากนัก โดยหากย้อนดูเดือนกันยายน ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา จะเกิดการปรับฐานโดยเฉลี่ยราว 2-3% แต่อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ทองคำปรับฐานลงไปไม่ลึกเท่าสถิติที่ผ่านมา หรือมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจนทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดดอกเบี้ยลงถึง 0.50% ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังต้องรอลุ้น หรือกรณีที่ เฟด ปรับลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ทองคำก็อาจถูกแรงขายทำกำไรในช่วงสั้นได้ แต่มองว่ายังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากยังมีปัจจัยสนับสนุนในด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ราคาทองคำยังคงมีมุมมองเชิงบวกอยู่ โดยมองว่าหากผ่าน 2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ไปได้ ก็จะไปที่เป้าหมายถัดไป 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เพราะนอกจากเรื่องดอกเบี้ยนโยบายเฟดแล้ว ยังมีปัจจัยพื้นฐานในด้านอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนราคา โดยเฉพาะความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ จะยังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนให้ยังคงต้องการถือครองทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนไว้ อย่างน้อย 5-10% ของพอร์ตการลงทุนรวม หรือพอร์ตที่ความเสี่ยงที่สูงก็ควรถือเพิ่มขึ้นมาได้ถึง 15% นอกจากนี้ ในระยะยาวยังมีปัจจัยสนับสนุนจาก การเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลกสะท้อนผ่านข้อมูลจากสภาทองคำโลก ที่ได้รายงานตัวเลขการเข้าซื้อทองคำในครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ 483 ตัน ซึ่งถือเป็นปริมาณการเข้าซื้อในครึ่งปีแรกที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมาแสดงให้เห็นว่าทองคำยังมีความต้องการที่แข็งแกร่งและรวมไปถึง กองทุน ETF ทองคำ ที่เริ่มเห็นเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำในประเทศนั้น ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลก แม้ว่าจะปรับขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าเนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า อย่างไรก็ดี มองว่าหากราคาทองคำตลาดโลกปรับตัวขึ้นสู่กรอบเป้าหมาย 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เป้าหมายถัดไปของราคาทองคำแท่งในประเทศจะอยู่ที่ 42,850-43,000 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ย 1 สัปดาห์ ที่ระดับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนในระยะสั้นที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงเพื่อรอความชัดเจนของเฟดนั้น แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไร ให้รอการย่อตัวสร้างฐานแล้วทำการเข้าซื้อเล่นระยะสั้น โดยมีแนวรับที่ 2,484-2,465 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนแนวต้านมองที่ 2,532-2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนทองคำในประเทศมองแนวรับที่ 40,350-40,050 บาทต่อบาททองคำ ส่วนแนวต้านมองที่ 41,100-41,400 บาทต่อบาททองคำ
อีกหนึ่งตลาดสำหรับการลงทุนคือตลาดหุ้นแต่จะเป็นอย่างไรน่าสนใจแค่ไหนต้องลงทุนอย่างไร นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน สร้างผลงานรั้งท้ายตลาดหุ้นเอเชีย หากเปรียบเทียบผลตอบแทนบนสกุลเงินท้องถิ่น โดยให้ผลตอบแทนติดลบ 6.1% เมื่อเทียบตลาดหุ้นในเอเชียที่มีผลตอบแทนสูงสองหลักขึ้นไป อาทิ ตลาดหุ้นไต้หวัน บวก 25% หุ้นญี่ปุ่น บวก 14% และหุ้นเวียดนาม บวก 15% ตลาดหุ้นไทยจึงให้ผลตอบแทนต่ำกว่าภาพรวมตลาดต่อเนื่อง 2 ปีติดโดยในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 10-12% สาเหตุเพราะกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ครึ่งปีแรกออกมาขยายตัวเพียง 3% จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดจะโต 14% ผลจากการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่งออกมาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลยังโฟกัสอยู่ที่โครงการดิจิทัล วอลเล็ต เป็นหลัก จึงปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นสูงสุดปลายปี 2567 ลงมาที่ระดับ 1,396 จุด จากเดิมที่คาดเป้าหมายปีนี้ที่ระดับ 1,466 จุด
“ภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องสินค้าราคาต่ำของจีนทะลักเข้าไทย ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยมีปัญหา การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ และจีน ที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัว แต่รัฐบาลยังให้ความสำคัญที่ดิจิทัล วอลเล็ต เป็นหลัก โดยช่วงที่เหลือของปีนี้ เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว แต่ดีมานด์ภายในประเทศยังฟื้นตัวได้ช้าอาทิ ธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย สื่อโฆษณา และการเงินเพื่อการบริโภค ที่ภาพรวมยังดูไม่ค่อยดี ทำให้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง” นายชัยพร กล่าว
นายชัยพรกล่าวว่า เป้าหมายดัชนีปลายปี2567 ยังไม่ได้รวมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งยังต้องติดตามข่าวการปรับเปลี่ยนการแจกเป็นเงินสด คาดว่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ เบื้องต้น มีมุมมองว่าการแจกเงินสดเป็นการเติมเงินเข้าระบบที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้ 0.3% จากที่คาดการณ์จีดีพีปีนี้ จะโตที่ระดับ 2.6% แต่นอกจากดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว หวังจะเห็นนโยบายอื่นของรัฐบาลออกมาเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศต่อเนื่อง รวมถึงคาดหวังว่าการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ที่ประเมินว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามามากกว่า 1 แสนล้านบาท จะสามารถเสริมสภาพคล่องในตลาดหุ้นมากขึ้น แต่หากระดมทุนได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ 1-1.5 แสนล้านบาทอาจทำให้ตลาดเสียความเชื่อมั่นได้ เพราะแรงหนุนที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว มีเพียง 3 ปัจจัยได้แก่ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน เม็ดเงินทุนลงทุนที่พร้อมสนับสนุนตลาด และภาวะเศรษฐกิจรวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามมีหลากหลายเรื่อง อาทิ เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่อาจเข้มข้นขึ้นหากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งปลายปีนี้ จะส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบด้านลบตามไปด้วย แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศเติบโตแบบชะลอตัว ความมั่นคงทางการเมืองและการดำเนินนโยบายต่อเนื่องของภาครัฐ สงครามทั่วโลกที่ยังเป็นความเสี่ยง และความท้าทายของการเปลี่ยนแพลตฟอร์มการค้าขายสู่ระบบ AI มากขึ้น
“กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบบตั้งรับอย่างเต็มตัว เพื่อตั้งการ์ดรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และหลายประเทศคู่ค้าของไทยที่เติบโตชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ต่างๆ เกิดความผันผวนได้”
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี