“แก้หนี้อย่างมีศักดิ์ศรี
ต้องแก้ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยน
ไม่ใช่คอยแต่แบมือขอ”
ปี 2562 ผมกับทีมงานเดินทางไปให้คำปรึกษาแก้หนี้ให้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เจอผู้เข้ารับคำปรึกษารายหนึ่งอาการหนักมาก รายได้จากเงินเดือนบวกค่าขึ้นเวร เดือนหนึ่งตก 17,000 บาท แต่โอนจริงเข้าบัญชีแค่ 17 บาท เพราะถูกหักเงินหน้าซองจากหนี้สหกรณ์และธนาคารแห่งหนึ่งซึ่งมีสวัสดิการสินเชื่อกับทางโรงพยาบาล
แวบแรกที่เห็นตัวเลขเงินคงเหลือในสลิปเงินเดือน ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครเอะใจกับกรณีแบบนี้ ฝ่ายบุคคลน่าจะเห็นตัวเลขนี้อยู่ตลอดเงินเดือนถูกหักจนเหลือโอนจริง 17 บาท น้องคนนี้เขาจะใช้ชีวิตยังไง
“แล้วนี่แต่ละวัน เอาเงินที่ไหนทานข้าวครับ” ผมถาม “ก็หยิบยืมเพื่อนบ้าง กินข้าวจากอาหารผู้ป่วยบ้างค่ะ ส่วนเงินรายได้ อาจจะได้เพิ่มบ้างจากการรับเช็ดตัวให้ผู้ป่วย ญาติของเค้าก็จะให้เป็นน้ำใจบ้าง ได้มาก็มีเงินซื้อข้าวเย็นกิน” เธอตอบ
ครั้งแรกที่ได้ยินคำตอบ ผมไม่เชื่อหูตัวเอง แต่พอได้คุยกับเพื่อนๆ เธอที่มาเข้าโครงการด้วยกัน ก็พบว่าชีวิตไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ คนที่ทำอาชีพดูแลคนอื่น แต่ไม่ได้ดูแลชีวิตตัวเองเลย ทำงานแบบนี้มีแต่รอวันหมดแรง เพราะทำหนัก ทำเหนื่อย แต่ไม่ได้ใช้เงินเลย
แม้จะเห็นใจ แต่ผมก็ยังยึดในหลักการให้ความช่วยเหลือแบบเดิม นั่นคือ ให้คำแนะนำเท่านั้น ด้วยเชื่อว่าคนเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ให้ผ่านพ้นไปได้ มีแต่เจ้าของปัญหาเองเท่านั้น
ผมชวนน้องเขาทำรายการรับจ่ายแต่ละเดือน พร้อมด้วยลิสต์รายการหนี้สินทั้งหมดที่มี ช่วยน้องวางแผนเจรจากับเจ้าหนี้เท่าที่พอเจรจาได้ บวกกับสอนเรื่องการหารายได้ โดยพยายามดึงจากทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ เครือข่าย และไอเดียของเธอ แถมด้วยการสอนเรื่องการทำตลาดออนไลน์ เพื่อหาทางช่วยเธอขายต้นทุนทางปัญญาและความสามารถทั้งมวลที่เธอมี
คำตอบที่เธอบอกมาคือ เธอไม่เคยทำอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากอาชีพผู้ช่วยพยาบาล แต่ยังไงเธอจะลองไปคิดหาทางดู
กลับจากโรงพยาบาลวันนั้น สารภาพจากใจจริง ไม่มั่นใจเลยว่า สิ่งที่เราทำจะช่วยเธอได้มั้ย หรือช่วยได้แค่ไหน รู้สึกติดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอาใจช่วย และหวังว่าสิ่งที่เราให้คำปรึกษาไป อาจเป็นประโยชน์กับเธอบ้าง
เวลาผ่านไป 1 เดือน ครบกำหนดที่ผมและทีมงานจะต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อติดตามผลการให้คำปรึกษา
ครั้งนี้เธอมาพร้อมขนมเต้าฮวยนมสด ที่เธอหยิบติดมาฝากให้พวกเราได้ลองทานกัน สีหน้าเธอดูยิ้มแย้มเวลาแนะนำ ทุกคนที่ได้ชิมต่างเห็นตรงกันว่า รสชาติอร่อย หน้าตาของขนมก็ดูดีใช้ได้ เสียแค่ยังไม่มีแบรนด์ ไม่ติดยี่ห้อ เลยถามถึงที่มาที่ไป
เธอเล่าให้ทีมงานผมฟังว่า หลังจากจบการให้คำปรึกษาครั้งก่อน เธอก็พยายามหาหนทางสร้างรายได้ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เลยไปค้นใน youtube เจอวิธีทำเต้าฮวยนมสด แล้วเริ่มเรียน เริ่มฝึกทำตาม youtube
ใช่ครับ! เธอเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมดจากศูนย์ ไม่ได้เริ่มต้นทุนความรู้ ต้นทุนชีวิตและประสบการณ์เดิมๆ ที่มีเลยแม้แต่น้อย หลังเรียนรู้วิธีทำเธอเริ่มต้นโดยการขอยืมเงินเพื่อน 500 บาท (เธอไม่มีทุนจริงๆ ตามที่เล่าไป)มาใช้เป็นทุนเริ่มต้นทำของขาย แค่ขายไม่กี่วัน เธอก็สามารถนำกำไรมาคืนเงินเพื่อนได้ และมีกำไรต่อวันอีกเล็กน้อย พอให้ชีวิตขับเคลื่อนไปได้
แม้วันนี้ยังมีหนี้อีกเยอะ ชีวิตยังติดลบ แต่ดูเธอมีความหวังขึ้นมากดูมีพลัง มีกำลังใจ เหมือนไฟในชีวิตกลับมาลุกโซนอีกครั้ง
“ทำแบบนี้รู้สึกชีวิตมีศักดิ์ศรีกว่าแบมือขอยืมเค้าเยอะเลยนะอาจารย์”เธอบอกกับผม
“รู้มั้ยทำไมถึงมีคนซื้อขนมของเรา” ผมถาม
“นั่นสิ อาจเป็นเพราะรสชาติพอกินได้ ราคาไม่แพงหรือเปล่าอาจารย์”แม่ค้ามือใหม่ตอบ
“อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คนรอบข้างเรายินดีที่จะสนับสนุนเราแบบนี้มากกว่า ถ้าขอยืมเงินกัน เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เงินคืนมั้ยแต่แบบนี้เงินแลกของ มูลค่าแลกคุณค่า สมน้ำสมเนื้อกัน คนเขาสบายใจกับการจ่ายเงินแบบนี้มากกว่า”
แม่ค้าเต้าฮวยยิ้มกว้าง แสดงออกชัดเจนถึงความภูมิใจในตัวเอง
“มีอีกเหตุผลนึงที่ทำให้คนในโรงพยาบาลนี้ยินดีซื้อเต้าฮวยจากเรา รู้มั้ยอะไร” ผมถาม
ก่อนที่แม่ค้าจะตอบ ผมชิงตอบเองก่อน เพราะดูเหมือนเธอจะคิดตอบไม่ออก
“เพราะเราเป็นคนดี คนรอบตัวถึงยังอยากที่จะช่วยเหลืออยู่”
“ขอบคุณนะคะอาจารย์” แม่ค้ายิ้มน้ำตารื้น
จบการเข้าให้คำปรึกษาในครั้งนั้น ผมและทีมงานรู้สึกมีความสุขกันมาก แม้จะเป็นแค่เคสเดียว คนเดียว ชีวิตเดียว จากหลายๆ เคสที่เข้าโครงการกับเรา แต่ก็เพิ่มเติมพลังให้กับทีมงานให้มีแรงทำงานกันต่อ
เราดีใจที่ปณิธานช่วยเหลือคนเป็นหนี้ โดยการให้ความรู้ทางการเงินภายใต้หลักคิด ยื่นมือ ไม่ยื่นเงินของเรา ได้ผลลัพธ์ที่น่าชื่นใจกลับมา หลายครั้งที่ปัญหาเรื่องเงิน ถูกใช้วิธีการเดิมๆ คือ หยิบยื่นเงินดอกเบี้ยต่ำให้ (Soft Loan) โดยไม่ได้ส่งมอบ “ความรู้ทางการเงิน” ควบคู่กันไปด้วย เงินที่ส่งให้ ไม่นานก็หมดและหดหายไป ลูกหนี้ก็ทำได้แค่รอคอยเงินก้อนใหม่ กับปัญหาหนี้ที่ใหญ่กว่าเดิม ไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป หรือทำให้คนเป็นหนี้หลุดพ้นสภาวะปัญหาได้จริง เหมือนการแก้ด้วยปัญญาและความรู้
แต่การแก้หนี้ด้วยปัญญา ลึกๆ มันคือการสร้างสำนึกให้ผู้ประสบปัญหาหนี้เข้าใจว่า ไม่มีใครช่วยเขาได้จริงๆ นอกจากตัวเขาเอง และสำนึกเล็กๆ จุดกำเนิดแห่งความรับผิดชอบต่อการเงินตัวเองแบบนี้นี่แหละ คือ จุดเริ่มต้นของปัญญาและวินัย ที่จะพาผู้ที่กำลังตกอยู่ในปัญหาหนี้หลุดพ้นจากปัญหาได้
แม้จะเป็นแค่ 1 คน 1 เรื่องราว แต่มันก็ยังยืนยันและตอกย้ำเสมอว่า“หนี้มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางใหญ่ไปกว่าใจของคนเรา” ที่มุ่งมั่นจะค้นหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยหนึ่งสมองและสองมือ
ขอเพียงแค่คิดจะสู้ ลองลงมือทำ ไม่ท้อ ไม่หมดแรงไปเสียก่อน วันหนึ่งก็จะต้องเจอทางออก ที่แม้จะเป็นแค่ประตูที่เปิดแง้มไว้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้
“หนี้แก้ได้ ถ้าใจสู้” ... ขอบคุณพลังคนธรรมดา ที่ช่วยผลักดันผมและทีมงานให้เดินหน้าต่อไปครับ
เราอาจไม่ใช่ฮีโร่สำหรับทุกคน
แต่เราเป็นฮีโร่การเงินสำหรับใครบางคนเสมอ
#มันนีฮีโร่ #MCOS9
#TheMoneyCoachTH
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี