ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในปี 2567 - 2568 (CEO Survey : Economic Outlook 2024-2025) เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และประเด็นที่น่าสนใจ โดยรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม - 27 กันยายน 2567 มีบริษัทจดทะเบียนจาก SET และ mai ร่วมแสดง ความคิดเห็นทั้งสิ้น 249 บริษัท จาก 26 หมวดธุรกิจ รวม 53.9% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ 31 กรกฎาคม 2567
ด้านเศรษฐกิจ...CEO คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ 2-3% ในปี 2567 และ 2568 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ คือ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ มองเสถียรภาพทางการเมืองไทย ปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อภายในประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันเศรษฐกิจ คาดเงินเฟ้อ 2567 เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย
สำหรับปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 CEOมองว่า ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากที่สุดอันดับแรก คือ การท่องเที่ยว ตามด้วยนโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ โดยในปี 2568 CEO มองว่า นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออกจะเข้ามามีบทบาทต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นในด้านปัจจัยที่ส่งผลทางลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดสำหรับปี 2567 CEOมองว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ เสถียรภาพการเมืองไทย หนี้ครัวเรือน และกำลังซื้อภายในประเทศ ตามลำดับ และสำหรับปี 2568 ก็ยังคงเป็น 3 ปัจจัยเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 CEO มองว่าเสถียรภาพการเมืองไทยและปัญหากำลังซื้อภายในประเทศจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจน้อยลง แต่เสถียรภาพการเมืองโลกและต้นทุนค่าจ้างแรงงานจะเข้ามามีบทบาทกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งบางท่านมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างการผลิตของประเทศไทยที่ยังเป็นอุตสาหกรรมรูปแบบเก่าซึ่งต้องมีการปรับตัว และการเข้ามาทำตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
ด้านการดำเนินธุรกิจ...CEO คาดว่ารายได้จากการประกอบธุรกิจยังเติบโตได้ในปี 2567 และอัตราการเติบโตจะเร่งขึ้นในปี 2568ยังเชื่อมั่นลงทุนขยายธุรกิจเพิ่มเติมโดยเฉพาะในไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้านสภาพคล่องของธุรกิจยังเป็นปกติแม้อาจมีความเสี่ยงจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลงและต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยมีการปรับกลยุทธ์ในหลายๆ ด้าน เพื่อรับมือกับความท้าทาย สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 CEO ส่วนใหญ่ราว 60% เชื่อว่าน่าจะอยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (1%-3%) และ 27% มองว่าอาจจะต่ำกว่ากรอบเงินเฟ้อ
รายได้ของธุรกิจ...สำหรับปี 2567 CEO ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจจะเติบโตเล็กน้อยถึงปานกลาง (0.1-10%) มีจำนวนรวม 55% สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของรายได้ของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีแรก 2567 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.3% และ 7.7% สำหรับบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ตามลำดับ สำหรับปี 2568 CEO คาดว่ารายได้ของธุรกิจจะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก ปี 2567 ในทุกระดับการเติบโต สะท้อนว่าในภาพรวม CEO คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้น่าจะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า
การลงทุน...CEO 3 ใน 4 มองว่าช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้ามีความน่าสนใจลงทุนหรือขยายกิจการเพิ่มเติม โดยจากกลุ่มดังกล่าว จำนวนประมาณ 2 ใน 3 มีความสนใจในภูมิภาคอาเซียน นำโดย ประเทศไทยและตามมาด้วย เวียดนาม และให้ความสนใจรองๆ ลงมาในประเทศจีนและประเทศอินเดีย ตามลำดับ ซึ่งเป็นภูมิภาคหรือประเทศที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และเศรษฐกิจกำลังพัฒนารวดเร็ว CEO หลายท่านสนใจไปลงทุนในประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเพิ่งมีการฟื้นคืนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศไทย รวมถึงบางท่านมีความสนใจในประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ นอกอาเซียน เช่น มองโกเลีย
ปัจจัยการดำเนินธุรกิจที่ต้องติดตามในช่วง 12 เดือนข้างหน้า CEO ส่วนใหญ่ห่วงปัญหา หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ตามด้วยปัจจัยต้นทุนการผลิตทั้งด้านวัตถุดิบ พลังงาน และต้นทุนทางการเงิน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ รวมทั้งบางท่านมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้ามาทำตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยใหม่ที่ถูกระบุเพิ่มเข้ามาในการสำรวจรอบนี้
การบริหารด้านสภาพคล่อง...จากผลการสำรวจความกังวลของ CEO เกี่ยวกับสภาพคล่องของกิจการในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แสดงให้เห็นว่า CEO ส่วนมากยังมีความกังวลในด้านสภาพคล่องที่เกี่ยวกับยอดขายที่ชะลอตัวลงและการชำระเงินของลูกหนี้การค้า และส่วนหนึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับการขอสินเชื่อธนาคารและวงเงินสินเชื่อ...การปรับตัวทางธุรกิจรับมือความท้าทาย...บริษัทจดทะเบียนดำเนินการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทาย โดยมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ กำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายการลงทุน ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
ในด้านโครงสร้างธุรกิจและการลงทุน...CEO ส่วนใหญ่เลือกที่จะปรับโครงสร้างภายในบริษัทเองมากกว่าที่จะปรับโครงสร้างผ่านการควบรวมกิจการหรือเปิดให้มีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เข้ามาเพิ่มเติม และ 70% เน้นการขยายการลงทุนภายในประเทศ โดยมีบริษัท 40%ที่พิจารณาขยายการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งใกล้เคียงกับสัดส่วนบริษัทจดทะเบียนราว 35%ที่มีการรายงานรายได้จากต่างประเทศในปีล่าสุดและมีบริษัทราว 20% และ 30% ที่มีการพิจารณาทางเลือกแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมจากการเสนอขายตราสารทุนและหุ้นกู้ ตามลำดับ...ในด้านการดำเนินงานและการตลาด CEO จำนวนมาก ระบุว่าได้ดำเนินการหรือมีแผนในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านแรงงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าหรือบริการ ควบคู่ไปกับการทำวิจัยและพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และราคาให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าหรือ บริการ รวมทั้งมีการปรับช่องทางการโฆษณาสินค้าและวิธีการสื่อสารเฉพาะกลุ่มให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแทนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเดิม
CEO ส่วนใหญ่มองว่า ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เทคโนโลยี Generative AI และเทรนด์การปรับตัวด้านความยั่งยืน (sustainability) จะส่งผลเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจไทยและการดำเนินธุรกิจมากที่สุด อาจนำมาทั้งโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในทางกลับกัน CEO ส่วนใหญ่มองว่าการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลเชิงลบทั้งต่อเศรษฐกิจไทยและการดำเนินธุรกิจ โดยการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอาจกระทบต่อต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น อีกหนึ่งปัจจัยที่ CEO ส่วนใหญ่มองว่าอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและส่วนหนึ่งมองว่าอาจกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ คือ สงครามการค้า
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี