บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้นบริษัทดูโฮม หรือ DOHOME กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 160 ล้านบาท (-19% YoY, +108% QoQ) เป็นไปตามประมาณการของเรา และนักวิเคราะห์ในตลาด กำไรที่ลดลง YoY เป็นเพราะมีการบันทึกค่าชดเชยจากน้ำท่วมใน 4Q66 (50 ล้านบาท) ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นQoQ เป็นเพราะอัตรากำไรขั้นต้นของเหล็กดีขึ้น ทำให้กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 674 ล้านบาท (+15% YoY) ซึ่งเป็นไปตามประมาณการกำไรเต็มปีของเรา

ทั้งนี้ SSSG ใน 4Q67 อยู่ที่ 1.5% (หลักๆ มาจากอุปสงค์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ ขณะที่อุปสงค์จากผู้ใช้สินค้าขั้นสุดท้ายทรงตัว) อัตรากำไรขั้นต้นใน 4Q67 อยู่ที่ 16.8% (-10bpsYoY, +40bps QoQ) เพราะอัตรากำไรขั้นต้นของเหล็กกลับมาอยู่ระดับปกติ ขณะที่สัดส่วน SG&A ต่อยอดขายใน 4Q67 ลดลงมาอยู่ที่ 13.7%(จาก 13.9% ใน 4Q66 และ 14.7% ใน 3Q67) จากการคุมต้นทุน

คณะกรรมการ DOHOME อนุมัติจ่ายเงินปันผล 0.005 บาท/หุ้นจ่ายหุ้นปันผลในสัดส่วน 21 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ (เทียบเท่ากับ 0.04บาท/หุ้น) ขึ้น XD วันที่ 4 มีนาคม กำหนดจ่ายวันที่ 26 พฤษภาคม 2568

แนวโน้มอุปสงค์มีทั้งแง่บวก และ ลบ เราปรับสมมุติฐานปรับลดประมาณการกำไร และ de-rate PER SSSG QTD เป็นเลขตัวเดียวต่ำๆ ขณะที่บริษัทตั้งเป้าปีนี้ไว้ที่เลขตัวเดียวระดับกลางๆ เรามองว่าแนวโน้มอุปสงค์ของผู้ใช้สินค้าขั้นสุดท้าย (52% ของยอดขายรวม) อาจลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ขณะที่อุปสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายภาครัฐน่าจะยังดีหลังจากที่อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 17% สำหรับปีงบประมาณ 2568

อัตรากำไรขั้นต้นอาจถูกกดดันจาก i) แคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขาย ii)Product mix ของสินค้าในหมวดวัสดุก่อสร้างสำหรับโครงการภาครัฐที่เพิ่มขึ้นซึ่งมี margin ต่ำกว่า (12-14%) สินค้าหมวดซ่อมแซม และตบแต่ง (19-22%) เราทบทวนสมมุติฐานของเราใหม่ดังนี้ i) ปรับลด SSSG เป็น 4% ในปี 2568 และ 3% ในปี 2569 ii) ปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นลง 10-20bpsและ iii) ปรับแผนขยายสาขาร้านใหม่

เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 ลง 2-3% โดยคาดว่า EPS ปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 21% YoY หลังปรับประมาณการกำไรใหม่ และพิจารณาผลกระทบจากการจ่ายหุ้นปันผลแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจาก EPS โตลดลง

เราปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงจากเดิม 10.50 บาทเหลือ 7.60 บาท ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”

ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวลง, ขยายสาขาได้น้อยกว่าที่วางแผนเอาไว้, ราคาพืชผลอ่อนแอ, ภัยธรรมชาติ, สินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก

ที่มา : บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)