ll ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความท้าทายทางการงานการเงิน คนไทยมากกว่า 10 ล้านคน ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม เพราะนอกจากต้องมีรายได้ประจำแล้ว ต้องมีบุคคลและหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้อีกด้วย ดังนั้นคนที่ไม่ได้มีรายได้ประจำหรือไม่มีความพร้อมทางด้านการเงิน คนเหล่านั้นต้องหันมาใช้บริการเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อาทิ อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด มีการทวงหนี้ใช้ความรุนแรงในหลายรูปแบบ นำมาซึ่งปัญหาสังคมต่างๆ ที่สำคัญที่สุด ไม่มีหน่วยราชการใดสามารถกำกับดูแลหนี้นอกระบบเหล่านี้ได้ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จริงแล้วก็คือตัวเลขที่เป็นเงินกู้ในระบบ ซึ่งหากรวมตัวเลขเงินกู้นอกระบบด้วยแล้วคนไทยมีหนี้ครัวเรือนทะลุ 100% ต่อจีดีพีไปแล้วและคนกลุ่มนี้ก็น่าเห็นใจมากเพราะชีวิตไม่มีทางเลือกที่จะเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ จึงจำทนถูกกดขี่และไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ จากเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้นอกระบบเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แอปพลิเคชั่นเงินกู้ออนไลน์ที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายจึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือขับเคลื่อนธุรกิจของตนได้ผมมั่นใจว่าคนที่ต้องการเงินจำนวนหลักพันอย่างเร่งด่วนเขาเหล่านั้นคงต้องความขัดสนในเรื่องความพร้อมทางด้านการเงินอย่างมาก
ถึงกระนั้น แอปพลิเคชั่นเงินกู้ออนไลน์เหล่านั้น มีเพียงแค่ 10 บริษัทเท่านั้นที่รับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของธนาคารพาณิชย์ เห็นได้ว่าไม่มีความเพียงพอกับสภาพการณ์ปัจจุบันและธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นไม่ได้ให้บริการใดเพื่อตอบสนองให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลได้ กล่าวคือเงื่อนไขการปล่อยกู้ต่างๆ ก็คงไม่ต่างกับการปล่อยกู้แบบดั้งเดิมมากนัก ซึ่งส่งผลให้ผู้คนในระดับรากหญ้าไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนจาก 10 บริษัทเหล่านั้นได้ง่ายอยู่ดี
ปัจจุบัน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ภายใต้กระทรวงการคลัง ได้มีสินเชื่อรายย่อย ที่เรียกว่า “พิโกไฟแนนซ์” ซึ่งเน้นเจาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยวงเงินกู้คนละไม่กี่ 1,000 บาทเท่านั้น ซึ่งสามารถช่วยให้กลุ่มรากหญ้าสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ ประกอบกับ ราคาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเริ่มถูกลงและความเร็ว Wi-Fi เริ่มเร็วขึ้น จึงเริ่มมีบริษัทเอกชนบางส่วนเริ่มให้บริการสินเชื่อ “พิโกไฟแนนซ์” ผ่านแอปพลิเคชั่นเงินกู้แบบออนไลน์ ซึ่งเป็นบริษัทพิโกไฟแนนซ์ ที่ได้รับใบอนุญาตจาก สศค. ซึ่งก็มีเงื่อนไขว่า ผู้ได้รับอนุญาตพิโกไฟแนนซ์เหล่านั้นต้องอยู่ภายใต้กำกับของ สศค. ต้องส่งข้อมูลให้แก่ สศค. ทุกเดือนและมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่มาลงตรวจหน้างานทุกปี ห้ามเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด มีกฎหมายบังคับในเรื่องการติดตามทวงถามหนี้เป็น 10 ข้อซึ่งล้วนเป็นประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้บริการสินเชื่อดังกล่าว
สำรวจในเบื้องต้น คาดว่าปัจจุบันมีผู้ใช้บริการสินเชื่อ “พิโกไฟแนนซ์” ผ่านออนไลน์ทางโทรศัพท์หลายล้านคน โดยข้อมูลล่าสุด เมื่อ ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2568 พบว่ามีประชาชนที่ใช้บริการพิโกไฟแนนซ์ อยู่ประมาณ 4.9 ล้านบัญชี และคาดว่า ในสิ้นเดือนก.พ.นี้ จะขึ้นแตะระดับ 5 ล้านบัญชี อย่างแน่นอนโดยในจำนวนนี้ พิโกไฟแนนซ์ มียอดเงินปล่อยกู้สะสมมากกว่า 47,000 ล้านบาท และยังมีเงินกู้คงค้างอยู่อีก 7,300 ล้านบาท
แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับ “ทุนจีนสีเทา” และ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” มิจฉาชีพหลอกเอาเงินผู้คนไปมากมายนั้น รัฐบาลกำลังตื่นตัว เร่งกวาดล้าง สิ่งที่ตามมาคือ บริษัทเงินกู้ที่ให้บริการออนไลน์ผ่าน “พิโกไฟแนนซ์” ถูกสั่งปิดตามไปตามกันด้วย ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงถอดออกจากระบบ Google Play store โดยอ้างว่า เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ ไม่ได้รับการอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
เรื่องของมันเกิดจากที่ในข้อเท็จจริงมันมีพวก “กลุ่มมิจฉาชีพ” ที่เปิด “แอปพิเคชั่นเงินกู้” ขึ้นมา ซึ่งขึ้นชื่อว่ามิจฉาชีพก็ย่อมไม่ได้คิดจำทำธุรกิจอยู่แล้ว เป้าหมายคือหลอกเอาเงินจากประชาชน เช่น ว่าให้สมัครรับเงินกู้ แต่ไม่ได้เงินจริง โดยหลอกให้ถอนเงินค่าดำเนินการก่อนสุดท้ายก็หายหัวไป หรือบางรายก็ให้เงินจริงแต่มีการหักค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยล่วงหน้าเอาไว้และคิดยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม หรือบางรายก็หลอกประชาชนเพื่อเอาข้อมูลสำคัญของลูกค้าเอาไปต่อยอดในกิจกรรมผิดกฎหมายต่อไป...ซึ่งก็เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ...ที่พอรัฐบาลใส่เกียร์เดินหน้าปราบมิจฉาชีพในกลุ่มนี้(หลังรัฐบาลจีนรุกหนัก โดยส่งมือปราบฝีมือดีมาลุยเอง)...กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ก็คงอยากจะโชว์ผลงานเพื่อเอาหน้าบ้าง...แต่ “เอาง่าย” ไปหน่อย....“ผอ.ป้ายแดง” ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(PDPC)...ซึ่งเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง...ก็เครื่องร้อนอยากโชว์ผลงาน...เลยหยิบเอารายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อผ่านระบบออนไลน์ ไปถาม ธปท. ว่าผู้ให้บริการเหล่านี้ได้รับอนุญาตจาก ธปท.หรือไม่...เมื่อธปท.ตอบว่า “ไม่”...ก็เลยส่งเรื่องไปให้...สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)...ETDA..ก็ส่งเรื่องต่อไปที่ Google…เมื่อ Google เห็นอย่างนั้นก็เลยถอดผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ ออกจาก...Google Play store...
เรื่องนี้หากว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเพื่อสังคม รอบครอบกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะไปถามกระทรวงการคลังสักหน่อยไหมว่ารายชื่อที่มีมือในรายใดได้รับอนุญาตจาก กระทรวงการคลังบ้าง ซึ่งหากได้รับใบอนุญาตถูกต้องก็ย่อมไม่ใช่ “แอปมิจฉาชีพ” แน่นอน...ทีนี้พอทำงานแบบเอาง่ายแบบนี้...คนที่เขาทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายก็เดือดร้อนไปด้วย และผลที่ตามมา ประชาชนคนระดับรากหญ้า ก็ขาดโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่ถูกกฎหมาย ทำให้หลายคนต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบที่มีความเสี่ยงสูงอีกครั้ง และอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง และปัญหาสังคมจากการทวงถามที่ใช้วิธีนอกระบบ…
ดังนั้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจต้องการแรงขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน รัฐบาลควรพิจารณานโยบายที่ช่วยให้แอปเงินกู้ออนไลน์สามารถดำเนินการได้ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นธรรม การกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอ จึงจะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการเป็นหนี้นอกระบบ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวและลดปัญหาสังคม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี