แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ (Rancho Charnvee Resort & Country Club) เป็นที่พักตากอากาศ ระดับ 5 ดาว และสนามกอล์ฟ ขนาดมาตรฐาน 18 หลุม พาร์ 72 มูลค่าหลายพันล้านบาท รายล้อมด้วยธรรมชาติอันงดงาม ของทิวเขาดงพญาเย็นแห่งอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ที่พักตากอากาศ และสนามกอล์ฟระดับหรูนี้ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นของครอบครัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรี
สถานที่แห่งนี้ เป็นที่กล่าวขวัญถึงความสวยงามและหรูหรา ได้อยู่ในความสนใจของสาธารณชน เมื่อที่ปรึกษาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับการตรวจสอบที่ดินในเขตจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งรวมถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยว่า อาจจะอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร และการออกโฉนดที่ดินบริเวณนั้น อาจดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และอาจเป็นเหตุให้ต้องถูกเพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิตามกฎหมาย
ข้อครหาหรือข้อกล่าวหาที่เป็นข่าวมีว่า ที่ดินผืนใหญ่ซึ่งรวมถึงที่พักตากอากาศและสนามกอล์ฟนี้ ตั้งอยู่บนที่ดิน ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) อันเป็นการใช้ประโยชน์ในที่ดินซึ่งถือครองกรรมสิทธิ์ไม่เป็นไปโดยชอบตามวัตถุประสงค์แห่ง พระราชบัญญัติ ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2518
นอกจากนี้ ที่ดินบริเวณนั้นซึ่งเป็น ที่ดิน น.ค. 3 ตามวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 โดยพื้นที่ส่วนนี้ มีความคาบเกี่ยวกันระหว่างพื้นที่ตามสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 และน.ค. 3 เขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์ (พม.) (กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเดิม)
การแถลงข่าวของที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับการตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. ตามหน้าที่ กรณีที่ดินบริเวณดังกล่าว ในเชิงชี้เป้ากล่าวหา ผ่านสื่อสาธารณะ ได้สร้างความไม่พอใจแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรองนายกรัฐมนตรี ที่ครอบครัวของท่านเป็นเจ้าของที่พักตากอากาศและสนามกอล์ฟเป็นอย่างมาก จนถึงกับกล่าวคำว่า “หน้าตัวเมีย” และยังกล่าวอีกว่า “งานนี้ มีใบสั่ง 500%” ต่อหน้าผู้สื่อข่าว
เพียงช่วงข้ามคืน ท่านคงนึกได้ท่าทีของท่านจึงเปลี่ยนไป และได้กล่าวในทำนองว่า ให้ตรวจสอบไป แต่จากภาษากาย และน้ำเสียงของท่าน ผู้คนที่ติดตามข่าวจะสังเกตได้ว่า ดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก
กรมที่ดิน ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านทะเบียนที่ดินทั้งประเทศ โดยอธิบดีกรมที่ดิน ได้ชี้แจงว่า โฉนดที่ดิน และ น.ส.3 ก บริเวณพื้นที่ดังกล่าว มีที่มาจากเอกสารสิทธิ น.ค. 3 หรือ หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเอง ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิตามมาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 โดยเมื่อกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (กรมประชาสงเคราะห์เดิม) อนุมัติให้สมาชิกนิคมรายที่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินเกินกว่า 5 ปี และได้ชำระเงินช่วยทุนที่รัฐบาลได้ลงไปแล้ว และชำระหนี้สินเกี่ยวกับกิจการนิคมให้ทางราชการแล้ว จะได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.3) เป็นหลักฐาน สมาชิกนิคมที่ได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.3) สามารถนำเอกสารนี้มาขอออกโฉนดเฉพาะรายต่อสำนักงานที่ดิน (มาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน) จึงเป็นเรื่องที่ดำเนินการถูกต้องแล้ว
กรณีที่ดิน ส.ป.ก.นั้น (พื้นที่ปฏิรูปที่ดินในส่วนที่ได้จากพื้นที่ตาม มาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติราชพัสดุ พ.ศ.2518) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจะออก ส.ป.ก.4-01 ให้แก่เกษตรกรผู้ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อไปใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรเลี้ยงชีพ สามารถขอให้กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ตามพ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2518 (มาตรา 36 ทวิ) ได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้มีข้อจำกัดอยู่เพียงว่า พื้นที่ใดที่มีการออกเอกสารสิทธิน.ค. 3 แล้ว และยังคงมีพลเมืองใช้และอาศัยอยู่รวมกันอยู่เดิมแล้ว จะไม่สามารถจัดเป็นพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร หรือ ส.ป.ก. 4-01 ได้ (แนวความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การตีความพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ. 2518 การถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อสิงหาคม 2525)
ระบบการจัดสรรที่ดินสาธารณะสมบัติของแผ่นดินของไทย เพื่อให้พลเมืองได้ใช้และอยู่อาศัยร่วมกันนั้น มีวิวัฒนาการมาแต่ช้านานแล้ว เทียบได้กับ “ธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน” ในปัจจุบัน อาจจะกล่าวเช่นนั้นได้ นับแต่ได้มีการตรา พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 (สมาชิกนิคมสร้างตนเองและนิคมสหกรณ์) เรื่อยมาจนกระทั่งถึง พ.ร.บ. ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ. 2518 (สมาชิกเกษตรกร) (ยังไม่รวมรูปแบบการจัดสรรที่ดินสาธารณะ ตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507) ต่างมาบรรจบกันที่ กรมที่ดิน ซึ่งเป็นเสมือนนายทะเบียนหลักของที่ดินทั้งประเทศ ในการออกเอกสารสิทธิที่แสดงถึงซึ่งการมีสิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่พลเรือนในการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคล (ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497)
ล่าสุด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกมาให้ข่าวว่า กรณีดังกล่าว ต้องพิจารณากรณีการครอบครองที่ดิน ที่มีการเพิกถอน ส.ค. 1 (ซึ่งเป็นเอกสารที่ราชการออกให้ เพื่อแสดงการมีสิทธิครอบครองที่ดิน แต่ไม่ได้แสดงถึงการมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน) ได้ถูกเพิกถอน โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อพ.ศ. 2519 จึงถือเป็นการเปิดประเด็นใหม่ ทำให้เกิดความสับสนหนักเข้าไปอีกว่า จะเป็นการเลือกปฏิบัติ และหวังผลทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ? การตรวจสอบอย่างเข้มข้นเช่นนี้ จะดำเนินจริงในทุกพื้นที่ในประเทศไทย เพื่อประโยชน์สาธารณะโดยส่วนรวม หรือ ดำเนินการเฉพาะบางพื้นที่ เป้าหมายโดยมีวัตถุประสงค์ บางอย่างหรือไม่ ?
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) (ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562) เป็นหน่วยงานที่ถูกตั้งความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จากพันธกิจองค์กร จะทำให้การทับซ้อนของเอกสารสิทธิในที่ดินของประเทศจะน้อยลงและหมดไปในที่สุด
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีครอบครัวถือครองที่ดิน ที่เป็นสถานที่พักตากอากาศและสนามกอล์ฟในบริเวณที่ยังมีข้อสงสัยแล้ว ไม่แสดงท่าทีเปิดกว้างให้ตรวจสอบอย่างจริงใจ ย่อมทำให้สาธารณชนเกิดความสงสัย เพราะกรมที่ดินเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ว่าจะทำการตรวจสอบอย่างเต็มที่หรือไม่ หรือเลือกปฏิบัติ
ปัญหาที่ดิน ซึ่งมีเอกสารสิทธิออกโดยหน่วยงานราชการถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักการที่ถูกต้องแล้ว หากตรวจสอบย้อนหลังแล้วพบว่า ก่อนการออกเอกสารสิทธิ ที่ดินอยู่ในที่ทับซ้อนที่เป็น ป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ เขตปฏิรูปที่ดิน จะต้องถูกเพิกถอนและกลับสู่สภาพเดิม ส่วนผู้สุจริต ที่ได้ที่ดิน โดยมีเอกสารสิทธิ ไม่ว่าจะเป็น โฉนด น.ส. 3 หรือ น.ส. 3 ก จะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ที่ขายที่ดินให้แก่ตน รวมทั้งหน่วยงานราชการที่ออกเอกสารสิทธิ แล้วแต่กรณี
กรณีการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ในพื้นที่ทับซ้อนสิ่งที่ต้องคำนึง ดังคำกล่าวที่ว่า “หากติดกระดุม เม็ดแรกผิดกระดุมเม็ดต่อไปจะผิดทั้งหมด” และกรณีของราชสีห์“หากหัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี