ll สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้จัดสัมมนาครั้งใหญ่ประจำปี ภายใต้แนวคิด “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities” โดย นายพิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” โดยระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินทางไปชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 60 ปี ทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย แต่ครั้งนี้เป็นการไปเพื่อชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์อิเล็ทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์สมัยใหม่ และไบโอเทคโนโลยี และจากตัวเลขการลงทุนที่ออกมากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้รัฐบาลจะเร่งดำเนินการเจรจาทางการค้า ซึ่งขณะนี้สำเร็จไปแล้ว 23 ประเทศ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีตลาดมากขึ้น และไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก
“ประเทศไทย มีพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะในเซกเตอร์สำคัญ ทั้งยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะมีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งและต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ก้าวไปสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพอย่างเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยว โดยต้องการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม BCG โดยให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ พยายามแก้ไข กฎ ระเบียบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นรวมถึงการขยายขอบเขตการทำงานของบีโอไอเพื่อเติมเต็มความต้องการของนักลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้ระบบเศรษฐกิจไทย” นายพิชัย กล่าว
ขณะเดียวกัน มีเวทีเสวนา หัวข้อ “การขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่” นำโดยนายนฤตม์เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัยปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
นายนฤตม์กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และความคิดสร้างสรรค์ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโครงการที่สร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและมีมูลค่าสูง ที่สำคัญต้องก่อให้เกิดกระบวนการผลิตที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ยกระดับผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ระบบอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างฐานผลิตในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเซมิคอนดักเตอร์ PCB ดิจิทัล และ AI การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะดิจิทัล การลดข้อจำกัดของกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการยกระดับพัฒนา Supply Chain ของอุตสาหกรรมใหม่ให้แข็งแกร่งรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต
“แนวโน้มสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบและทำให้มั่นใจว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริมต้องมีกระบวนการผลิตในสาระสำคัญเกิดขึ้นจริงภายในประเทศ และไม่มีการสวมสิทธิ์ พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมถึงการร่วมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิตไทย นอกจากนี้ บีโอไอได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อลดผลกระทบจาก Global Minimum Tax โดยให้เครดิตภาษี จากการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ด้านวิจัยและพัฒนา ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีภาระภาษีลดลง”นายนฤตม์ กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัยกล่าวว่า อว. ได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากรรองรับการสร้างอุตสาหกรรมอนาคต โดยมีเป้าหมายใน 5 ปี จะผลิตบุคลากรในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงจำนวน 80,000 คน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 150,000 คน และ AI 50,000 คน ผ่านการ Upskill / Reskill การจัดหลักสูตรพิเศษ Sandbox และการให้ทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีแพลตฟอร์มการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง STEM One-Stop Service ที่ร่วมกับบีโอไอในการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนที่มีการลงทุนพัฒนาบุคคลในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ยังมีกลไกของกองทุนวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนานักวิจัยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต
ด้าน ดร.ประเสริฐกล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ของโลกการลงทุน โดยเฉพาะความผันผวนด้านพลังงานของโลก โดยแผน PDP ฉบับใหม่ได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด จากร้อยละ 22.6 ในปี 2567 เป็นร้อยละ 51 ในปี 2580 หรือเพิ่มขึ้น 63,867 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ได้เตรียมแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการยกระดับพลังงานไทย เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ (Grid Modernization) รองรับการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าของไทยให้มีความมั่นคง มีราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการจัดทำ Direct PPA ใน 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ กลไกการจัดหาพลังงานสะอาด (Utility Green Tariff : UGT) สำหรับภาคอุตสาหกรรมผ่านการไฟฟ้า รูปแบบที่สอง เปิดให้เอกชนซื้อไฟฟ้าผ่านบุคคลที่สาม (Third Party Access : TPA) โดยมีโครงการนำร่องในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ ให้กับธุรกิจ Data Center
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตบนพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2570 มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัล จะมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของจีดีพีและก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับ 30 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของโลก ซึ่งในปี 2567 ไทยอยู่ในอันดับที่ 37 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน โดยปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับต้นๆ จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดยกระทรวงดีอี พร้อมสนับสนุนความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายด้านการลงทุน โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในหลายๆ ด้าน เช่น นโยบาย “Cloud First” เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลและบริการคลาวด์ของภูมิภาค การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI รวมทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสนับสนุนการลงทุน เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ สิทธิพิเศษด้านภาษี และ
การสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี