ll กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งพบว่าโดยจำนวนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 16,391 ราย ลดลง5.09% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ. 2567) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ภาคธุรกิจในช่วงเวลานี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์และแรงกระทบต่างๆ จากภายในและภายนอกประเทศ ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายด้านการค้าและภาษีของประเทศมหาอำนาจต่างๆ อย่างต่อเนื่องผนวกกับปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์ที่ผู้บริโภคต้องระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย ล้วนส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการจดทะเบียนธุรกิจต่างๆ
ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลอดจนคาดว่าจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและของโลกที่มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนหลักทั้งจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนของภาครัฐการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการ Easy E-Receipt การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวน่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ ยอดการจดทะเบียนธุรกิจทั้งปี 2568 เติบโตได้ตามเป้าหมายที่กรมตั้งไว้ (90,000-95,000 ราย)
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีธุรกิจที่พอจะมีอนาคตสดใสอยู่บ้าง โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น มีทิศทางการสร้างผลประกอบการที่เติบโต แบ่งเป็นกลุ่มผลิต อาทิ ทำสวนไม้ประดับ ปลูกพืช เพาะพันธุ์ ปลูกกล้วยไม้ และไม้ดอกต่างๆ และกลุ่มขาย อาทิ ขายส่ง-ขายปลีกดอกไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์พืช โดยกลุ่มขายเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอย่างมาก ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ เป็นมูลค่าสูงถึง 9,325 ล้านบาท ไปประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และญี่ปุ่น โดยกว่าครึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกของกล้วยไม้ไทย 5,434 ล้านบาท ซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน โดยส่งออกไปประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
ปัจจุบัน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มีนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นจำนวน 2,993 ราย (แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และกลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท) ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น91,501 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มขาย ในปี 2566 สร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท และตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา (2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรเติบโต อย่างต่อเนื่องเป็น 1,842 ล้านบาท 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือ กุญแจสำคัญของการเติบโตของธุรกิจนี้ การพัฒนาเกษตรกรให้ก้าวไปสู่ Farmer Business นอกจากมีทักษะในการเพาะปลูกที่เชี่ยวชาญแล้ว การทำธุรกิจที่เป็นมืออาชีพ (Smart Farming) หรือนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วยจะทำให้เกษตรกรไทยมีศักยภาพ บนเวทีโลก เพราะไทยเป็นประเทศที่ได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ดิน ฟ้า อากาศ ที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกอยู่แล้ว การพัฒนาคนที่สามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพาะปลูกจึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ไทยมีแต้มต่อกว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงการใช้โอกาสของหลักประกันทางธุรกิจในการนำไม้ยืนต้นมาต่อยอดเป็นเงินทุนที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขยายต่อไปได้
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี