เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 8 ปีเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองโดยเฉพาะกรณีกองกำลังชุดดำยิงถล่มใส่กำลังทหารที่เข้ารักษาความสงบจากการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงที่บริเวณสี่แยกคอกวัวเมื่อปี 2553 จนมีทหารเสียชีวิต 5 นาย พลเรือนเสียชีวิต 21 นาย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 800 ราย ขณะเดียวกันแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะน.ส.เหวง โตจิราการ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยยังพยายามบิดเบือนว่าไม่มีกองกำลังชุดดำที่ใช้อาวุธสงครามนานาชนิดยิงใส่ทหารจนเกิดการนองเลือด
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง และ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยคนสำคัญพยายามสร้างภาพส่อเจตนาบิดเบือนว่าม็อบคนเสื้อแดงและประชาชนรวม 99 รายเสียชีวิตโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ และเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพเมื่อปี 2553 รับผิดชอบต่อเหตุกรณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้มูลเหตุและที่มาที่ไปของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 อันเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง โดยขบวนการระบอบทักษิณโดยแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงพยายามสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนประวัติศาสตร์เหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 มาตลอด ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและกองทัพสลายม็อบเสื้อแดงและเข่นฆ่าประชาชนจนมีผู้เสียชีวิต 99 ราย
ทั้งๆที่ความจริงแล้วผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 99 รายมีทั้งประชาชน ทหาร ตำรวจรวมทั้งสื่อชาวต่างชาติโดยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากกองกำลังก่อการร้ายติดอาวุธที่เริ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดการนองเลือดด้วยการลอบก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดแสวงเครื่องหรือการยิงด้วยกระสุนระเบิดแบบเอ็ม 79 ใส่ย่านชุมชนทั่วกทม.และปริมณฑล สถานที่ราชการ และจุดยุทธศาสตร์สำคัญแทบรายวันนานนับเดือนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ก่อนที่จะมีการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงซึ่งบุกยึดถนนราชดำเนินและย่านราชประสงค์ในเวลาต่อมา
กองกำลังก่อการร้ายติดอาวุธซึ่งส่วนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดดำที่ติดสัญญลักษณ์สีแดงเคลื่อนไหวคู่ขนานกับม็อบเสื้อแดงนำโดย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง โดยขณะที่ม็อบเสื้อแดงยึดย่านราชประสงค์ กองกำลังก่อการร้ายติดอาวุธเหล่านี้ตั้งฐานที่มั่นอยู่ภายในสวนลุมพินีซึ่งภายหลังจากที่กำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่เพื่อยุติการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงย่านราชประสงค์พบอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมาก โดยที่อาวุธส่วนหนึ่งม็อบเสื้อแดงยกพวกบุกปล้นและยึดจากฝ่ายทหาร โดยเจ้าหน้าที่ทหารหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเข้าปะทะเพราะไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายตามแผนของขบวนการระบอบทักษิณที่ต้องการให้เกิดการนองเลือดเพื่อนำไปสู่การช่วงชิงอำนาจรัฐจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
แผนยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงของขบวนการแดงก่อการร้ายถึงกับเหิมเกริมยิงกระสุนระเบิดเอ็ม 79 หมายถล่มวัดพระแก้ว และบุกสภากาชาดไทยอันละเมิดหลักสากลและโรงพยาบาลจุฬาฯทั้งๆที่สมเด็จพระสังฆราชยังทรงรักษาอาการพระประชวรทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งให้อพยพสมเด็จพระสังฆราชมารักษาอาการพระประชวรที่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อความปลอดภัย ขณะที้ผู้ป่วยของโรงพยาบาลจุฬาฯซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนไข้อาการโคม่าหรือคนชราต้องถูกอพยพไปยังโรงพยาบาลอื่นๆอย่างโกลาหลอันสะท้อนถึงความเลวทรามป่าเถื่อนของขบวนการเสื้อแดงระบอบทักษิณ
ม็อบเสื้อแดงพยายามยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้ทหารใช้ความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา ทั้งการบุกยึดรัฐสภา การเทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับการลอบก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดหรือยิงด้วยกระสุนเอ็ม 79 อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกองทัพพยายามอดทนไม่ตอบโต้อย่างถึงที่สุด ทำให้ขบวนการก่อการร้ายระบอบทักษิณยกระดับการเคลื่อนไหวเพิ่มการยั่วยุและใช้วิธีการที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกโดย นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงภาคอีสาน นำม็อบเสื้อแดงส่วนหนึ่งบุกไปพังรั้วกองทัพภาคที่ 1 ทำให้ทหารต้องออกมาผลักดันม็อบเสื้อแดง และนี่คือหลุมพลางมรณะของขบวนการก่อการร้ายทักษิณที่วางแผนยั่วยุล่อให้กำลังทหารเคลื่อนกำลังออกมารักษาความสงบเพื่อที่จะได้ปฏิบัติการก่อการร้ายอย่างเต็มรูปแบบครั้งสำคัญนั่นคือที่มาของเหตุการณ์นองเลือดที่สี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553
โดยขณะที่กำลังทหารเคลื่อนกำลังกระชับพื้นที่รุกคืบมาจนถึงบริเวณสี่แยกคอกวัวและเกิดการประจัญหน้ากับม็อบเสื้อแดง ปรากฏว่ากองกำลังก่อการร้ายชุดดำซึ่งแฝงตัวปะปนอยู่ในม็อบเสื้อแดงได้เปิดฉากใช้อาวุธสงครามร้ายแรงทั้งกระสุนระเบิดเอ็ม 79 และปืนนานาชนิดระดมยิงใส่กำลังทหารที่ตั้งประจัญหน้าอยู่ทำให้มีทหารเสียชีวิตทันที 5 นายซึ่งในจำนวนนี้คือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือ” เสธ.เปา” นายทหารเสือราชินีผู้มีอนาคตสดใส จากนั้นกองกำลังก่อการร้ายชุดดำกราดยิงใส่ทหารและประชาชนหรือแม้แต่มวลชนเสื้อแดงพวกเดียวกันเอง ทำให้เหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตเกือบ 30 คน บาดเจ็อีกเกือบ 1,000 คน
สำหรับเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัวยิ่งปรากฏภาพและหลักฐานชัดเจนทั้งที่รายงานโดยสื่อในและสื่อต่างประเทศที่ชี้ให้เห็นว่ามีกองกำลังก่อการร้ายชุดดำแฝงตัวปะปนอยู่ม็อบเสื้อแดงและมีการสั่งการโดยแกนนำคนเสื้อแดงและจอมบงการในต่างแดนสุมไฟสงครามกลางเมือง ทำให้มีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรงระดมยิงใส่กำลังทหารอย่างอุกอาจ
แผนสร้างสถานการณ์ชั่วร้ายให้เกิดการนองเลือดที่สี่แยกคอกวัวของขบวนการก่อการร้ายก็เพื่อใช้เป็นประเด็นข้ออ้างบิดเบือนในการโฆษณาชวนเชื่อทั้งต่อมวลชนม็อบเสื้อแดง ประชาชนทั่วไปตลอดจนชาวโลกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกองทัพฆ่าประชาชนเพื่อปลุกระดมให้โลกล้อมประเทศไทยขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความชอบธรรมในการก่อสงครามกลางเมืองโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
แผนก่อการร้ายของขบวนการแดงระบอบทักษิณยังรวมถึงการเผาบ้านทำลายเมืองให้เกิดจลาจลทั่วประเทศโดยม็อบคนเสื้อแดงที่บ้าคลั่งในหลายจังหวัดบุกเผาศาลากลางจังหวัด ส่วนในกทม.แกนนำเสื้อแดงประกาศบนเวทีให้เผาห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด และมีการเผาย่านการค้าสำคัญหลายจุดทั่วเมืองหลวงเพื่อให้เกิดกลียุค
หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่งที่ตอกย้ำถึงความมีอยู่จริงของกองกำลังก่อการร้ายชุดดำที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงคือรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานได้ชี้ข้อเท็จจริงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่สี่แยกคอกวัว ปี 2553 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คนในจำนวนนี้เป็นทหาร 5 นายและบาดเจ็บ 864 ราย โดยความรุนแรงเริ่มที่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าขณะที่ยานลำเลียงกำลังทหารมาถึงบนสะพานพระปิ่นเกล้า นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) แกนนำคนเสื้อแดง พร้อมการ์ดและมวลชนเสื้อแดงประมาณ 1,000 คนได้เข้าปิดล้อมยานลำเลียงของทหารและใช้กำลังยึดอาวุธสงครามของทหารไปเป็นจำนวนมาก จนเวลา 16.40 น. เสธ.แดง ปรากฏตัวที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าพร้อมกับ นายยศวริศ ต่อมาพบการปรากฏตัวของคนชุดดำพร้อมอาวุธสงครามอยู่ในที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง และได้มีการนำอาวุธสงครามนานาชนิดมุ่งไปยังสี่แยกคอกวัวจนเกิดเหตุการณ์ปะทะกับกำลังทหารที่พยายามเข้ามารักษาความสงบ
การจับกุมผู้ต้องหากองกำลังชุดดำได้หลายคนเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งต่างต่างเปิดปากรับสารภาพหมดเปลือกถึงแผนชั่วร้ายของขบวนการแดงก่อการร้ายระบอบทักษิณถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่มัดและยืนยันความมีอยู่จริงของกองกำลังก่อการร้ายชุดดำ
จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดดังที่กล่าวมาแล้วจึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่ากองกำลังก่อการร้ายชุดดำมีอยู่จริง ขณะที่คนบางกลุ่มกลับพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์จากขาวเป็นดำจากดำเป็นขาวเพื่อกลบเกลื่อนพฤติกรรมอันเลวร้ายของตัวเอง ซึ่งบรรดาพวกที่ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์สอดคล้องกับพุทธพจน์บทหนึ่งที่ว่า “คนพูดเท็จไม่กระทำชั่วเป็นไม่มี”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี