อาทิตย์ที่ผ่านมาอเมริกายังท้าทายพญามังกรไม่หยุดหย่อนผ่านทางไต้หวัน ซึ่งเพิ่งเจอแผ่นดินไหวถล่มไปหมาดๆ เรื่องมาตรการของอเมริกาที่เต้นก๋าท้าทายจีน ขอยกไปเขียนทีหลังพอดีมีเรื่องประหลาดทางการเมืองเกิดขึ้น เลยอยากเล่าสู่กันฟังก่อนเพราะสำหรับคนนอกอย่างเราๆ ท่านๆ อาจขำเรื่องที่เกิดขึ้นแต่สำหรับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส อาจขำไม่ออกก็ได้
ขณะที่โจ ไบเดน และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งบินปร๋อไปร่วมพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2แห่งอังกฤษแม้ตอนแรกทางอังกฤษจะให้ผู้นำประเทศทุกท่านนั่งสุมกันมาในรถบัสแต่ลุงโจของเราปฏิเสธอาจจะเป็นเพราะวัยหรือไม่ก็สร้างศัตรูเอาไว้มากเลยไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นเกิดมีใครโยนระเบิดตูมเดียวหรือยิงจรวดใส่รถบัส ผู้นำคงตายหมู่นั่นแหละสุดท้ายลุงกับเมียก็ได้นั่งรถส่วนตัวกันกระสุนอย่างสบายใจเฉิบ
ลุงโจกับศรีภรรยาเดินหน้าระรื่นเข้าไปในงานระดับโลกแต่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส กลับเจอฝันร้ายอันคาดไม่ถึงเพราะผู้ว่าการรัฐสุดแสบส่งรถบัสขนผู้ลี้ภัยไปรัฐบลูสเตทของเดโมแครต อย่าเพิ่งงงกับคำว่าบลูสเตท
อย่างที่บอกแหละว่าอเมริกามีสองพรรคใหญ่พรรครีพับลิกันเป็นพรรคที่ใช้สีแดงแทนสีพรรค และมีช้างเป็นสัญลักษณ์ส่วนเดโมแครตใช้สีน้ำเงินเป็นสีพรรค มีลาเป็นสัญลักษณ์
รัฐที่หนุนเดโมแครตเรียกว่า “บลูสเตท” ส่วนรัฐที่หนุนรีพับลิกันเรียกว่า “เรดสเตท”
เจอแบบนี้มีเงิบ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา
ซึ่งบอกเลยว่ารายนี้เป็นสาวกโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา รอน เดอ ซานติส ส่งผู้ลี้ภัยร่วม 50 คนจากรัฐเท็กซัส บินด้วยชาร์เตอร์ไฟลท์ เข้าเกาะตากอากาศหรู Martha&’s Vineyard รัฐแมสซาชูเซตส์ ทั้งนี้ เพื่อตบหน้าพรรคเดโมแครตในการแก้ไขปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัยที่แห่เข้าอเมริกาไม่หยุดหย่อน
หลายคนยังจำผู้ว่าการรัฐฟลอริดาได้ในความเบียวสำหรับสว.ที่ไม่เข้าใจคำว่า “เบียว” ให้ไปถามหลานที่บ้านดูผู้ว่าการรัฐฟลอริดานี่เป็นข่าวบ่อยมากในความเบียวตอนที่ยอดป่วยรายวันในรัฐฟลอริดาพุ่งไปสองหมื่นกว่าแต่ด้วยความเบียวของแกยังทำหน้ามึน ไม่ยอมออกคำสั่งใส่หน้ากากแถมคัดค้านการให้ประชาชนสวมหน้ากากและฉีดวัคซีนคือค้านทั้งใส่หน้ากากและฉีดวัคซีนว่างั้น
มีการห้ามไม่ให้โรงเรียนต่างๆ บังคับให้นักเรียนใส่หน้ากากไปเรียนด้วยคงมีคนสงสัยแหละว่าทำไมผู้ว่าการรัฐฟลอริดาถึงไม่ยอมทำตามซีดีซีและคำสั่งไบเดน แกบอกว่าการที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นเพราะอากาศร้อนทำให้คนจำนวนมากหลบอยู่ในบ้านการเปิดแอร์ทำให้ไวรัสหมุนเวียนอยู่ภายในบ้านเฮ้ย..นี่แกได้เป็นผู้ว่าการรัฐจากการสอยต้นกัลปพฤกษ์หรือจับสลากงานกาชาดมารึไง
ส่วนผู้ว่าการรัฐเท็กซัส เกร็ก แอบบ็อตต์ รายนี้ก็เด็กสร้างลุงทรัมป์ผมเป๋ รายนี้แซบกว่าผู้ว่าการรัฐฟลอริด้าหลายเบอร์เพราะส่งรถบัสนำผู้ลี้ภัยชาวเวเนซุเอลา 50 คน รวมทารกวัย 1 เดือน ไปจอดหน้าบ้านพักของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสในวอชิงตัน ดี.ซี.เลยทีเดียว โอ้มายก๊อดลอร์ดบุดด้า
รถบัสทั้งสองคันอัดแน่นไปด้วยผู้อพยพลี้ภัยจากโคลอมเบีย คิวบา กายอานา นิการากัว ปานามา และเวเนซุเอลาต้นทางมาจากรัฐเท็กซัสขับมาจอดทิ้งไว้ที่หน้าบ้านพักรองประธานาธิบดีโดยผู้ว่าการรัฐทั้งสองรัฐให้เหตุผลว่า รัฐอื่นที่ไม่มีพรมแดนติดเม็กซิโกก็สมควรแบกปัญหาผู้อพยพเหมือนที่รัฐที่มีชายแดนติดเม็กซิโกต้องแบกรับด้วย เอ้า..แบบนี้ก็ได้เหรอ
ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา รอน เดอ ซานติส กล่าวว่าทุกชุมชนในอเมริกาที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่ติดพรมแดนเม็กซิโกสมควรต้องช่วยแบ่งเบาภาระต่อปัญหาผู้ลี้ภัยเข้าอเมริกาที่มาจากนโยบายของไบเดนจากพรรคเดโมแครต ส่วนผู้ว่าการรัฐเท็กซัสยืนยันว่า จะส่งรถบัสบรรทุกผู้ลี้ภัยไปตามเมืองต่างๆ ทั่วอเมริกาที่ประกาศตัวว่า เป็นเมืองต้อนรับผู้ลี้ภัย (sanctuary city)จนกว่าไบเดนและแฮร์ริสจะออกมาตรการทำให้พรมแดนทางใต้มีความมั่นคงมากขึ้น
นโยบาย “รับผู้ลี้ภัย” ถูกกีดกันอย่างหนักในสมัยของตาลุงผมเป๋โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะประกาศว่ารับผู้ลี้ภัยแค่ปีละ 15,000 คน แถมออกนโยบายกีดกันต่างๆ นานา ยังคงพอจำกันได้ แต่ลุงโจ ไบเดน ประกาศรับผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นเป็น 62,500
คนต่อปี แถมลุงโจยังตั้งเป้าว่าจะขยายโควตาการรับผู้ลี้ภัยเพิ่มเป็นได้เป็น 1.25แสนคนต่อปี ในปีงบประมาณ 2022
ลุงโจส่งไม้ต่อให้กมลาด้วยการประกาศตั้งรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ให้เป็นผู้นำทีมในการแก้ไขปัญหากลุ่มผู้อพยพจากเม็กซิโกและประเทศในแถบสามเหลี่ยมเหนือของอเมริกากลางที่หลั่งไหลข้ามพรมแดนเม็กซิโกเข้าอเมริกา ไม่ใช่อะไรที่ไหนเพราะแม่กมลาเองก็เป็นผู้อพยพมาจากอินเดียนั่นแหละ
เรื่องนี้กลายเป็นอาวุธที่ฝั่งรีพับลิกันคว้ามาทิ่มแทงรัฐบาลลุงโจ เช่น เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัสของพรรครีพับลิกันมองว่าวิกฤตผู้อพยพเกิดจากฝีมือของรัฐบาลไบเดนที่ยกเลิกนโยบายควบคุมการเข้าเมืองอย่างเข้มงวดยุครัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อีกทั้งยังให้สิ่งจูงใจแก่ผู้อพยพนับพันที่ต้องการเดินทางเข้าอเมริกา
งั้นมาเปิดประวัติศาสตร์ผู้อพยพในอเมริกาดูกันหน่อยเพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้อพยพเข้าไปมากที่สุดในโลกปี 2019 จำนวนผู้อพยพที่เข้ามาอาศัยในสหรัฐอเมริกาและยังมีชีวิตอยู่ มีจำนวน 51 ล้านคน หรือประมาณ 15% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศแต่ละปีจะมีผู้อพยพเดินทางเข้าอเมริกาปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ในปี 2019 นั้น 3 ประเทศที่มีผู้อพยพเข้ามาอเมริกามากที่สุดคือ เม็กซิโก จีน และอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 26% ของจำนวนผู้อพยพ ในปี 2020บริษัทชั้นนำ 500 อันดับของสหรัฐอเมริกา หรือฟอร์จูน 500 นั้นเป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยกลุ่มผู้อพยพ มีสัดส่วนถึง 44%
แต่ในส่วนของผู้อพยพที่มาจากละตินอเมริกานั้นแตกต่างจากผู้อพยพชาติอื่นที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาด้วยความพร้อมและเงินทอง ผู้อพยพจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้ส่วนมากฐานะยากจนคนเหล่านี้พยายามทุกวิถีทางในการข้ามพรมแดนเข้ามาในอเมริกาเพราะบรรดาผู้อพยพเหล่านั้นมองว่านโยบายคนเข้าเมืองในสมัยของประธานาธิบดีโจไบเดน เอื้อต่อการได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานในอเมริกาได้มากกว่ายุคลุงทรัมป์ผมเป๋
ตอนนี้คงต้องบอกว่าเรียกว่างานเข้า กมลาเต็มๆ ที่เจอย้อนศรแบบถึงพริกถึงขิงอย่างนั้นจากบรรดาผู้ว่าสองแสบสายรีพับลิกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี