ขอพักเบรกจากสถานการณ์น่าปวดหัวในอเมริกาอีกสักอาทิตย์เถอะนะอ่านข่าวในอเมริกาแล้วปวดหัวตาลายคล้ายจะเป็นลมด้วยความที่นับวันยิ่งเตี้ยลงสาละวันเตี้ยลงจนมองไม่ค่อยเห็นอนาคตอันโสภาเท่าไหร่ เลยหาเรื่องเบาๆ มาเขียนเล่าเม้าท์มอยสู่กันฟังเป็นการพักสมอง
อเมริกา เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและยังตกสำรวจอยู่มาก หรือแม้จะไม่ตกสำรวจก็มีความประหลาดปรากฏให้เห็นที่นั่นที่นี่ไม่ต้องดูอื่นดูไกลเอาแค่ชื่อแต่ละเมืองนี่แหละบางเมืองแค่ชื่อก็ฮาแล้ว
เมืองบางแห่งในอเมริกามีชื่อประหลาด เช่น เมือง “นรก” ในรัฐมิชิแกน ไม่รู้ว่าคนที่ก่อตั้งเมืองคิดยังไงถึงตั้งชื่อเมืองแบบนี้แต่ดูเหมือนว่าประชากรในเมืองมีความสุขกันดีแถมเปิดเป็นเมืองท่องเที่ยวให้ชาวบ้านชาวช่องไปถ่ายรูปกิ๊บเก๋ยูเรก้าคู่กับป้าย “ยินดีต้อนรับสู่นรก” อีกต่างหาก
คงเป็นเพราะชื่อนี่แหละที่ทำให้ชาวบ้านร้านถิ่นชอบอกชอบใจแห่ไปเที่ยวเมืองนี้แถมเว็บไซต์ของเมืองยังเขียนติดตลกว่า “เมืองเราเป็นเมืองที่ชาวโลกผลักไสให้มาเยือนมากที่สุด” เพราะใครๆ มักพูดว่า “ไปลงนรกซะ”
กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมคือแวะไปร้านขายของที่ระลึกชื่อแหวกแนวไม่แพ้ชื่อเมือง นั่นคือร้าน “กรีดร้อง” เพื่อซื้อโปสต์การ์ด “ยินดีต้อนรับสู่นรก” ส่วนหนุ่มสาวไอเดียกระฉูดหลายคู่ลงทุนเดินทางมาแต่งงานกันใน “นรก”แสดงว่าเริ่มต้นที่นรก ส่วนปลายทางจะไปไหนก็ไม่อาจคาดเดาอาจจะขึ้นสวรรค์หรืออาจจะกลับสู่นรกก็ได้
สาเหตุที่ได้ชื่อประหลาดนั้นไม่แน่ชัดแต่มีการสันนิษฐานว่าสาเหตุแรกมาจากชาวเยอรมันสองคนเดินทางมาที่นี่ในหน้าร้อนปี 1830 ประทับใจความงดงามจนอุทานว่า "So schön hell!" แปลตรงๆ คือ สวยแจ่มอะไรแบบนี้
นอกจากเมืองนรกที่ว่านี่ ยังมีเมืองชื่อบ้าๆ บอๆแบบที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในโลกในรัฐเพนซิลเวเนียมีอยู่เมืองหนึ่งที่ป้ายชื่อเมืองหายเป็นประจำเมืองนี้มีชื่อชวนสยิวว่า “Intercourse” ซึ่งแปลอย่างสุภาพว่า “การร่วมเพศ” พูดบ้านๆ คือ เมืองปี้กันชาวเมืองคนสนุกสุขสันต์หรรษาทุกวันแน่เลย
กวาดตาไล่มาเรื่อยๆ เมืองชื่อแปลกยังมีอีกเยอะในอเมริกาอย่างเมือง “อุบัติเหตุ” หรือ Accident ในรัฐแมรี่แลนด์ ไม่รู้คนตั้งคิดยังไงเพราะฟังดูแล้วดูไม่ค่อยปลอดภัยชอบกล หากตั้งชื่อแบบไทยๆ อาจกลายเป็น “เมืองเจ็ดวันอันตราย” อะไรทำนองนี้
ในรัฐโคโลราโดมีเมืองชื่อแปลกกว่านั้นอีก นั่นคือเมือง “ไร้ชื่อ” หรือ No Name คาดว่าไปรษณีย์คงปวดหัวไม่น้อยกับการไปส่งจดหมายเพราะไม่รู้ว่านี่คือชื่อเมืองหรือคนส่งไม่รู้ว่าเมืองชื่ออะไรเลยมานิดหนึ่งในรัฐโอเรกอนคาดว่าคนก่อตั้งเมืองนี้เป็นคนขี้เบื่อเลยตั้งชื่อเมืองว่า Boring หรือเมืองน่าเบื่อ แต่จริงๆ แล้วเมืองนี้ได้รับการขนานนามตามชื่อ W.H.Boring ซึ่งเป็นคนอาศัยรายแรกในเมืองนี้เมื่อปี ค.ศ.1903 นั่นเอง
รัฐมินนิโซตา มีเมืองชื่อแปลกอยู่เมืองหนึ่งชาวเมืองอาจจะเปราะบางและอ่อนไหวง่าย เพราะขี้อายกันทุกคนแน่นอนเพราะเมืองนี้ชื่อว่า “เมืองน่าอาย” หรือ Embarrass แต่ความเป็นมาของเมืองนี้ไม่ได้มาจากความหน้าบางของประชากรแต่อย่างใด หากแต่มาจากอากาศหนาวสุดติ่งมาตลอดทุกยุคสมัยครองแชมป์อุณหภูมิต่ำสุดทุกปีแบบไม่มีใครอยากแย่งโดยอุณหภูมิต่ำสุดคือ -50 เซลเซียส
ลงไปทางใต้ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย มีเมืองหนึ่งชื่อไพเราะเพราะพริ้งจนไม่กล้าไปอาศัยว่า “เมืองโคตรน่าเกลียด” หรือ Big Ugly คาดว่าคนที่มาอยู่เมืองนี้แรกๆ อาจเจ็บแค้นเมียเก่า เลยตั้งชื่อประชดเมืองนี้มีภูมิประเทศและลาดชันสูงๆ ต่ำๆ ขรุขระไม่น่ามองเลยตั้งชื่อประจานซะงั้น
อีกเมืองในรัฐอลาสก้ามีการสร้างบ้านทุกหลังและสถานที่ราชการภายใต้หลังคาเดียวกันเมืองนี้คือเมือง Whittier ประชากรที่นี่มีเพียง ฝ220 คน ทั้งเมืองประกอบด้วยที่พักของทหารทั้งหมด 14 หลัง ร้านค้า สถานีตำรวจ โรงพยาบาล รวมทั้งโบสถ์ ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันเพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิงทำความร้อน
นอกจากเมืองหลังคาเดียวแล้ว ยังมีเมืองเอเลี่ยนหรือชื่อเต็มๆ ดีๆ คือเมือง Roswell เพราะในปี 1947 มีจานบินต่างดาวตกลงมาในเมืองนี้เล่นเอาชาวบ้านร้านถิ่นและชาวโลกฮือฮากันยกใหญ่แม้จะผ่านไปหลายสิบปี แต่กระแสความนิยมเรื่องจานบินยังไม่จางลงเมืองนี้เลยกลายเป็นเมืองยูเอฟโอไปโดยปริยายร้านค้าและร้านอาหารต่างแต่งร้านเป็นธีมเอเลี่ยนและจานบินเลยกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวในเวลาต่อมา
แต่ทั้งหมดที่เล่ามายังไม่แปลกเท่าเมืองที่มีประชากรอยู่เพียงแค่คนเดียวไอ้เมืองที่ว่านี้น่าสนใจมาก เพราะไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้านเพราะพลเมืองเพียงหนึ่งเดียวก็เหลาเหย่แก่ชราคงบู๊กับใครไม่ไหวเมืองนี้คือเมือง Monowi ในรัฐเนบราสกา
ข้อมูลประชากรของอเมริกาในปี 2010 ทำให้รู้ว่าชาวเมืองเพียงหนึ่งเดียวในเมืองนี้คือคุณป้าเอลซี่ อิลเลอร์ อายุอานามก็ไม่ได้มากมายอะไร เป็นสาวน้อยบานสะพรั่งวัย 84 ปี ป่านนี้อาจเสียชีวิตแล้วมั้งตอนแรกเมืองนี้ก็มีคนลงหลักปักฐานไม่ต่างไปจากเมืองอื่นนั่นแหละในช่วงปี 1930มีประชากรเกือบสองร้อยคนและถือว่าเป็นเมืองที่เมื่อชุมทางรถไฟแห่งหนึ่ง
คุณป้าเล่าว่าตนเองอยู่นอกเมือง เพราะครอบครัวทำฟาร์มจากนั้นไปเป็นแอร์โฮสเตสอยู่หลายปี แล้วพบรักกับทหารหนุ่ม (ยุคนั้น) ที่กลับมาจากไปรบในสงครามเกาหลี เลยแต่งงานจนมีลูกด้วยกันสองคนต่อมาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและลากยาวมาจนถึงปี 1960 โบสถ์ประจำเมืองกลายเป็นโบสถ์ร้าง ไปรษณีย์และร้านขายของปิดตายทุกแห่ง แม้แต่โรงเรียนยังกลายเป็นโรงเรียนร้าง ในปี 1980 เหลือคนอยู่ในเมืองนี้แค่ 18 คนเท่านั้นเอง 20 ปีต่อมาทั้งเมืองเหลือประชากรแค่สองคนคือ คุณป้าและสามี ซึ่งสามีอำลาโลกนี้ไปเมื่อปี 2004 ทั้งเมืองจึงเหลือคุณป้าคนเดียวเท่านั้น
แม้จะเป็นเมืองเกือบร้าง แต่คุณป้าก็เปิดกิจการเล็กๆ แบบร้านอาหารให้คนเก่าแก่และคนรู้จักแวะเวียนมาทักทายรวมทั้งเปิดห้องสมุดของสามีให้ทุกคนมาใช้บริการได้ฟรีๆ สรุปคือทุกวันนี้คุณป้าเป็นทั้งนายกเทศมนตรีเซ็นเอกสารต่างๆ บรรณารักษ์ห้องสมุด และเจ้าของกิจการเล็กๆ แต่ดูมีความสุขดีกับการเป็นพลเมืองหนึ่งเดียวในเมืองนี้
จริงๆ แล้วยังมีเมืองในอเมริกาอีกหลายเมืองที่น่าเล่าสู่กันฟังอย่างเมืองผีทั้งหลายนับร้อยนับพันเมืองทั่วอเมริกา เมืองผีเหล่านี้ล้วนมีตำนานน่าสนุกทั้งสิ้น เมืองเหล่านี้ก่อนกลายเป็นเมืองผีก็เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะยุคตื่นทองแต่ตอนนี้คือเมืองร้างกระจายอยู่ทั่วแคลิฟอร์เนียและรัฐอื่นๆ ทางฝั่งตะวันตก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี