เมื่อพูดถึงอารยธรรมอียิปต์โบราณ ทุกคนคงรู้จักดี เช่นเดียวกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อียิปต์โบราณนั้นตั้งอยู่ระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก โลกตะวันตกคือดินแดนที่อยู่รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งจะพัฒนาเป็นอารยธรรมกรีกและโรมันต่อไป ส่วนโลกตะวันออกคือดินแดนเมโสโปเตเมียและดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำสินธุนั่นเอง
หลายคนบางคนก็รับรู้เรื่องราวอารยธรรมโบราณแห่งนี้จากการขุดค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ฟาโรห์หนุ่มผู้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ซ้ำเป็นฟาโรห์ที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรนัก แต่เรื่องราวการค้นพบและทรัพย์สมบัติอลังการในหลุมศพทำให้ทั้งโลกรู้จักฟาโรห์พระองค์นี้ดีกว่าฟาโรห์พระองค์อื่นๆ ชื่อตุตันคาเมนเลยติดปากคนทั้งโลกจนกลายเป็นอมตะอย่างแท้จริง
นอกจากฟาโรห์ตุตันคาเมนจะเป็นฟาโรห์ยอดนิยมอมตะนิรันดร์กาลแล้ว ยังมีฟาโรห์ผู้โด่งดังอีกหนึ่งพระองค์ แถมพระองค์นี้ได้รับฉายาว่า “มหาราช” เสียด้วย นั่นคือฟาโรห์รามเสสที่ 2 ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นหลานปู่ของฟาโรห์รามเสสที่ 1 เพราะฟาโรห์รามเสสที่ 1 ครองราชย์ได้แค่ 2 ปีก็เสด็จไปเฝ้าเทพโอซิริส คาดว่าตอนขึ้นเป็นฟาโรห์ทรงพระชราแล้ว กระนั้นก็มีพระโอรสขึ้นเป็นฟาโรห์คือ ฟาโรห์เซดิที่ 1 ซึ่งสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้อาณาจักรอียิปต์โบราณเช่นกัน
ฟาโรห์เซติที่ 1 มีพระราชโอรสคือรามเสสที่ 2 ที่ครองราชย์ยาวนานถึง 66 ปีจนทรงมีพระชนมายุ 90 พรรษาจึงสิ้นพระชนม์ รามเสสที่ 2 ถือว่าเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์เลยก็ว่าได้
กาลเวลาผ่านผันสามพันกว่าปี บรรดาฟาโรห์เสด็จไปโลกหลังความตายกันหมดแล้ว โจรก็ลอบปล้นสุสานฟาโรห์อย่างไม่เกรงกลัว จนมีการเจอหลุมลึกลับที่ซ่อนพระศพของฟาโรห์หลายพระองค์ในหุบเหว เพราะนักบวชเคลื่อนย้ายออกจากสุสานอันอลังการ คือย้ายมาแต่หีบศพ เพื่อปกป้องเจ้านายตน จากนั้นก็เอามากองรวมกันในถ้ำแห่งหนึ่ง แต่ไม่วายโดนปล้นไม่รู้รอบที่เท่าไหร่
ในโถงถ้ำแห่งนี้นี่แหละที่เจอสมาชิกราชวงศ์ 19 กันพร้อมหน้าทั้งฟาโรห์พ่อคือฟาโรห์เซดิที่ 1 และลูกคือฟาโรห์รามเสสที่ 2 แต่ไม่ยักเจอฟาโรห์รามเสสที่ 1 มีแต่โลงพระศพจารึกพระนามรามเสสที่ 1 แต่พระศพนั้นล่องหนไปไหนไม่รู้ใครรู้ได้ ในสุสานรามเสสที่ 1 ก็ไม่มี
มัมมี่หลวงเหล่านั้นจึงได้รับกียรติเคลื่อนย้ายไปพักผ่อนต่อในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ในไคโร ต่อมาฟาโรห์รามเสสที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 19 มีอันต้องเดินทางออกนอกอียิปต์ จึงต้องทำหนังสือเดินทางเพื่อไปปารีส นอกจากจะโด่งดังในฐานะมหาราช ยังเป็นฟาโรห์พระองค์แรก ที่มีพาสปอร์ตเดินทางเสียด้วย โดยเดินทางไปฝรั่งเศสหลังสามพันกว่าปีให้หลัง
ตอนนั้นคิดว่ารามเสสที่ 2 ทรงพระโมเดิร์นสุดๆ แล้ว ได้บินหรูหราร่าเริงไปปารีส แต่มาเจอข้อมูลว่าเสด็จปู่ของพระองค์ ซึ่งก็คือฟาโรห์รามเสสที่ 1 เด็ดกว่านั้นอีกคือ สามพันปีหลังสวรรคต พระองค์เดินทางโดยทางเรือมายังแคนาดาแล้วมาอเมริกา โดยที่ไม่มีใครระแคะระคายเลยว่านี่คือ มัมมี่ฟาโรห์แห่งอียิปต์
ดร.เจมส์ ดักกลาส ชาวแคนาดาที่คลั่งไคล้เรื่องราวของมัมมี่และอียิปต์โบราณจนเดินทางไปอิยิปต์ เพื่อซื้อมัมมี่มาประดับบ้านโดยวางพิงฝาบ้านไว้ตรงระเบียง เชื่อว่าในเวลานั้นเพื่อนบ้านคงไม่ค่อยอยากไปเยี่ยม และขโมยคงไม่อยากย่างกรายไปบ้านดร.แน่ๆ โดยเฉพาะยามราตรี
ต่อมาในปี ค.ศ 1860 หรือ พ.ศ.2403 ก็นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์น้ำตกไนแองการ่า ช่วงเวลานั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามนำวัตถุโบราณออกนอกอียิปต์หรือนำเข้าประเทศต่างๆ พอมัมมี่เหล่านี้มาถึง ก็จัดแสดงขึ้นขั้นวางเรียงกันอย่างดีให้คนชม
หนึ่งในจำนวนมัมมี่ที่จัดแสดง มีมัมมี่ตนหนึ่งที่ไขว้มือประสานระหว่างอก แตกต่างไปจากมัมมี่ทั่วไป แถมยังปราศจากผ้าพันศพอีกด้วย เลยทำให้คนไม่สนใจเท่าไหร่ อย่าลืมว่าในช่วงปี 1800-1860 ยังไม่ได้มีการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน เลยไม่มีใครสงสัยว่าทำไมมัมมี่ผู้ล่อนจ้อนปราศจากผ้าพันจึงไขว้แขนไว้ที่หน้าอก
เวลาล่วงเลยไปอีกหลายสิบปี มัมมี่ปริศนายังนอนไขว้แขนบนชั้นวางอย่างเดียวดาย จนกระทั่ง ปี 1966 วิศวกรเยอรมันคนหนึ่งไปทำธุระที่ไนแองการ่า พอดีมีเวลาเหลือเลยฆ่าเวลาด้วยการเข้าพิพิธภัณฑ์ แล้วก็เจอมัมมี่ร่างที่ว่านี่เข้า สันนิษฐานว่ามัมมี่ปริศนาที่นอนเดียวดายไร้ผ้าพันคือมัมมี่ของราชินีเนเฟอร์ตีติ ด้วยความกระหายใคร่รู้ จึงพาผู้เชี่ยวชาญไปด้วย แต่พอเปลื้องผ้าที่คลุมไว้ตรงท่อนล่างออกจนหมดก็พบว่ามัมมี่ตนนี้เป็นเพศชาย
หลังตรวจสอบโน่นนี่ก็พบว่า มัมมี่ตนนี้เป็นฟาโรห์อย่างแน่นอน ด้วยลักษณะการไขว้แขน ต่อมามีการนำข้าวของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์น้ำตกไนแองการ่ามาขายทอดตลาด รวมทั้งมัมมี่อียิปต์ด้วย พิพิธภัณฑ์ไมเคิล ซี คาร์โลที่แอตแลนต้าจึงซื้อมัมมี่ทุกร่างและสมบัติอื่นมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ มัมมี่ปริศนาจึงเดินทางจากแคนาดามาสู่รัฐแอตแลนต้า ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอเมริกา
นักโบราณคดีได้พยายามค้นหาคำตอบว่ามัมมี่ลึกลับนี้เป็นฟาโรห์พระองค์ไหน จนมีการตั้งข้อสังเกตว่ารูปลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับมัมมี่ฟาโรห์เซติที่ 1 รามเสสที่ 2 จึงสงสัยว่ามัมมี่ตนนี้อาจจะเป็นฟาโรห์รามเสสที่ 1
ทางพิพิธภัณฑ์จึงทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ด้วยการเอ็กซเรย์มัมมี่ลึกลับ แล้วนำไปเทียบกับฟิล์มเอ็กซ์เรย์ที่เคยมีการเอ็กซเรย์มัมมี่หลวงราชวงศ์ที่ 19 ปรากฏว่า มัมมี่ลึกลับคือฟาโรห์รามเสสที่ 1 จริงๆ ทางพิพิธภัณฑ์จึงจัดแสดงบนครอบแก้วเพื่อเป็นเกียรติแก่ฟาโรห์อียิปต์หนึ่งเดียวในอเมริกา เพราะมัมมี่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ไม่มีร่างไหนเลยที่เป็นมัมมี่หลวง
ทางพิพิธภัณฑ์ส่งคืนทางการอียิปต์ปลายปี ค.ศ. 2003 หรือพ.ศ.2546 โดยให้ฟาโรห์รามเสสที่ 1 เดินทางข้ามฟ้าโดยสายการบินฝรั่งเศสอย่างโก้หร่าน แถมพอถึงแผ่นดินเกิด ก็มีกองดุริยางค์ทหารอียิปต์ต้อนรับ สุดท้ายฟาโรห์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ที่ 19 ก็ได้พำนักยังแผ่นดินแม่อีกครั้ง ถือเป็นชีวิตหลังความตายที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะล่องเรือเดินสมุทรข้ามไปแคนาดา และอยู่ที่นั่นยาวนานหลายสิบปีจนเดินทางอเมริกา และสุดท้ายได้กลับแผ่นดินอันเป็นที่รัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี