การแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรได้แสดงให้เห็น “คุณภาพและสำนึก” ของคนว่าเป็นอย่างไร
คนในประเทศนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการแข่งขันกีฬาครั้งนี้ เพราะสำนึกรู้ว่ามันเป็นกีฬา และเป้าหมายของกีฬาก็คือความรักความสามัคคี ความภาคภูมิใจในตนและสถาบัน การพัฒนาศักยภาพของตน อันจะส่งผลต่อสติปัญญาต่อไป
ส่วนประกอบอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้กีฬาสนุกสนานน่าสนใจมากขึ้นก็คือ “การแปรอักษร”ที่ล้อเลียนและยกย่องการเมือง เศรษฐกิจ บุคคลสำคัญ การเชียร์ รวมทั้งพิธีเปิด - พิธีปิดไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในครั้งนี้ แต่มีมานานจนเป็นประเพณีของการแข่งขันฟุตบอลไปแล้ว และในต่างประเทศก็มี
แต่สิ่งที่เพิ่งมีมาไม่นานนักก็คือ “เศษเดนของความเชื่อ” ที่คนบางกำพืดได้รับการปลูกฝัง-ปั่นหัวต่อๆ กันมา นับแต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกนำเข้ามาสู่ประเทศไทย มันเป็นรูปร่างในจินตภาพที่ขยายออกสู่ผู้คนในวงกว้าง นับตั้งแต่ยุคการปล้นชิงอำนาจและทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ในปี 2475 แล้ว
แม้จะสิ้นยุคของคณะราษฎรที่เข่นฆ่าทำลายล้างกันเองและฝ่ายตรงข้าม เพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันในปี 2500 แล้ว แต่ซากเดนความคิด - ความเชื่อแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ยังคงมีคนสืบต่อเรื่อยมา...ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทางหนึ่ง ในหมู่นักศึกษาปัญญาชนและในสถาบันการศึกษาทางหนึ่ง ชาวนาและกรรมกรทางหนึ่ง เมื่อรัฐบาลในยุคนั้นได้มี “นโยบาย 66/2523” ให้ “คนป่าคืนเมือง” นักศึกษา กรรมกร และผู้คนที่เข้าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ฯจำนวนมากก็คืนสู่เมือง และต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็สลายลง เพราะ “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน”
เมื่อกลับคืนเมืองแล้วนักศึกษาบางส่วนเรียนต่อ จบมาเป็นอาจารย์ นักวิชาการ บ้างก็ทำงานมีครอบครัว มีชีวิตอย่างคนทั่วไป บ้างก็สร้างกิจการจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ บ้างก็แปรสภาพตนเป็นเอ็นจีโอ บ้างก็เป็นนักการเมืองด้วยการเข้าไปอยู่กับพรรคของ “นายทุนใหม่”ด้วยเหตุผลว่าเป็น “คู่ขัดแย้งหลัก” กับทุนเก่าหรือทุนเจ้า จึงต้องเข้าไปใช้นายทุนใหม่เป็น “แนวร่วม” หรือเป็น “เครื่องมือ”ของตน เพื่อล้มทุนเก่าหรือทุนเจ้าเสียก่อน เมื่อชนะแล้วก็จะล้มนายทุนใหม่อีกที เพื่อสร้างรัฐสังคมนิยม สืบสานอุดมการณ์ดั้งเดิมที่เคยสู้มาแล้วแพ้ทุกสมรภูมิ!
15 ปีผ่านไปจนถึงวันนี้ ทั้งตัวคนและอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ก็กลายเป็นเครื่องมือของนายทุนใหม่อย่างถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว
ต่อมาไม่นานก็มี “นายทุนใหม่ที่ใหม่กว่า” ที่ยังหลงใหลลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น เขาสร้างพรรคการเมืองเพื่อเป็นเครื่องมือต่อสู้ในสภา พร้อมกับปลุกปั่นความคิด - ความเชื่อของตนสู่พวกหัวกลวง จนได้ลิ่วล้อที่ต่อสู้นอกสภาแทนตนจำนวนมาก
นายทุนใหม่ที่ใหม่กว่า...ต้องการกำจัดเจ้าตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เช่นกันแต่เมื่อเป็นพรรคการเมืองมีกฎหมายกำกับ จึงต้องประกาศเป็นนโยบาย “สร้างรัฐสวัสดิการ” ส่วนการกำจัดเจ้าก็ใช้วิธี “ปฏิรูปมาตรา 112”
ขณะที่เอานโยบายรัฐสวัสดิการบังหน้านั้นก็มีการยุยงปลุกปั่นว่าประเทศไทยต้องไม่มีเจ้า ต้องล้มล้างจารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ล้มล้างการกราบไหว้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงศาสดาแห่งศาสนาต่างๆ และบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องของความเป็นทาส ล้มล้างความกตัญญูกตเวทิตาต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณเพราะพ่อแม่แค่ต้องการเสพกามารมณ์กันเท่านั้น เมื่อมีผลออกมาเป็นลูก พ่อแม่จึงต้องเลี้ยงดูลูก ส่วนลูกไม่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ยกเลิกการนับถือครูอาจารย์เพราะกินเงินเดือนของประชาชนอยู่แล้ว จึงเป็นแค่ลูกจ้าง ใช้สรรพนามแค่ “คุณ-ผมก็ให้เกียรติกันมากพอแล้ว” ฯลฯ รวมถึง “การสร้างกฎหมายของประชาชน” ที่เท่าเทียมเป็นธรรม
สรุปเศษเดนความคิด - ความเชื่อของพวกเขาก็คือ “เมื่อจะสร้างสังคมใหม่ก็ต้องทำลายล้างสังคมเก่าให้สิ้นซาก” ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสายใยยึดโยงผู้คนเข้าไว้ด้วยกันให้หมด เหมือนต้องทำลายป่าให้ราบเตียน เพื่อจะได้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวต่อไป
ด้วยเหตุนี้พวกหัวกลวง - ไม่มีสำนึกอะไรในชีวิต จึงเชื่อเชื่องต่อคำยุยงปลุกปั่นอย่างง่ายดาย ประกอบกับได้รับอามิสสินจ้าง ความอยากเด่นอยากดัง อยากอวดอัตตา อยากแสดงอำนาจให้สังคมเห็นว่าตนเป็นคนมีอุดมการณ์อันเลอเลิศ จึงเที่ยวต่อต้าน ประท้วงก่นด่า กล่าวโทษ ทำลายอะไรก็ตามที่พวกตนเห็นว่าล้าหลัง - ขัดขวางต่อการสร้างสังคมใหม่ของพวกตน แม้กระทั่งแค่เรื่องการแปรอักษร!
แต่คนพวกนี้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าสิ่งที่พวกตนเชื่อนั้นเป็นแค่เศษเดนที่หลงเหลือมาจากศตวรรษที่แล้ว มันมีแต่โทษภัยแก่พวกตนและสังคม และมันทำให้ชีวิตของพวกตนไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า “ขยะพิษของสังคม” ที่วิญญูชนรังเกียจ
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี