วันนี้ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ วันที่ สมเด็จฮุนเซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา เดินทางเข้าเยี่ยมนักโทษเทวดาทักษิณ ชินวัตรที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ผมก็มั่นใจอย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่า ประเทศไทยเราเวลานี้อยู่ในกำมือทักษิณเกือบหมดแล้ว
ประชาชนไทย ไม่อาจพึ่งกระบวนการยุติธรรม ไม่อาจพึ่งพรรคการเมือง และไม่อาจพึ่งกระบวนการภาครัฐตั้งแต่นายกรัฐมนตรีประมุขฝ่ายบริหาร ลงมาจนถึงบุคลากรทางการแพทย์ของทางราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับรองการป่วยทิพย์ของทักษิณ
เมื่อพึ่งอะไรไม่ได้ ก็เห็นจะต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าหาสายมูกันแล้วครับ !
ผมพูดจริงนะครับ ไม่ใช่พูดเล่น !
ในชีวิตของคนที่เติบโตและมีทางเดินของชีวิตแบบผม คนที่รู้จักผมดี ย่อมรู้ว่า ผมไม่เคยเชื่ออะไรที่พิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้
อะไรที่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ผมจะถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ
กระทั่งเมื่อผมเผชิญเหตุการณ์บางอย่างกับตัวเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ความคิดที่เคยคิดว่าอะไรที่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ที่ผมเคยมีจึงเริ่มเปลี่ยนไป
ผมจะไม่ด่วนตัดสินว่า อะไรที่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ แต่ผมจะคิดว่า อะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ อาจเป็นเรื่องเหลวไหล หรืออาจเป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึง หรือพิสูจน์ไม่ได้ ก็ได้
เรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึง หรือยังอธิบายไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่ผมประสบมาด้วยตนเอง ที่อยากเล่าสู่กันฟัง ณ ที่นี้ คือเรื่องของบุรพกษัตริย์ และ บรรพชน ที่ยังรักและหวงแหนแผ่นดินของท่านอยู่
เป็นเรื่องที่ผมประสบขณะลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลมาเขียนสารคดีชุด “ประวัติศาสตร์ที่ขาดหาย” (The Lost Histories) ถึง ๒ ครั้ง
เป็นอาถรรพ์ที่ยากจะอธิบาย แต่สามารถเข้าใจได้
ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางปี ๒๕๕๙ ขณะผมลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อหาข้อมูลมาประกอบงานเขียนสารคดีเรื่อง “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้”
ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางปี ๒๕๖๐ หรืออีกหนึ่งปีต่อมา ขณะผมลงพื้นที่บ้านเกิดของโฮจิมินห์ ที่คอมมูนกิมเลียน อำเภอนามด่าน จังหวัดเหงะห์อาน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อหาข้อมูลมาประกอบงานเขียนสารคดีเรื่อง “๑๙ เดือนในไทยของโฮจิมินห์ เทพเจ้าที่ยังมีชีวิตของชาวเวียดนาม”
ในความเข้าใจของผม อาถรรพ์ครั้งแรก เป็นเรื่องที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระเมตตามาเตือนสติผมให้เขียนสารคดีของท่านให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแผ่นดิน มากกว่าจะเกิดประโยชน์ต่อพระองค์ท่านเพียงพระองค์เดียว
อาถรรพ์ที่ผมประสบคือ วันหนึ่งระหว่างหาข้อมูลอยู่ที่นครศรีธรรมราช ผมมีอาการเหมือนคนหลง ๆ ลืม ๆ เอกสารที่ได้มาและรวบรวมไว้หาย ปากกาที่ใช้จดข้อมูลก็หาย
ผมโทรกลับไปหาบุคคลผู้ที่ผมไปเก็บข้อมูล เพื่อถามเขาว่า เอกสารและปากกาของผมหายไป ลืมไว้ที่เขาหรือเปล่า เขาหัวเราะและบอกว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่พบเหตุการณ์แปลก ๆ แบบนี้ ผมคงไปทำอะไรที่พระองค์ท่านไม่พอพระทัย เขาแนะนำให้ผมไปไหว้ขอขมาท่านเสีย
ผมคิดไม่ออกว่า ผมไปทำอะไรให้พระองค์ท่านไม่พอพระทัย แต่เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปไหว้ขอขมาพระองค์ท่านที่เขาขุนพนม สถานที่ที่พระองค์ท่านเสด็จไปพำนักรักษาศีล บำเพ็ญธรรม
จากนั้น อาการเหมือนคนหลง ๆ ลืม ๆ ก็หายไป แต่เอกสารกับปากกาที่หาย ยังหาไม่เจอจนทุกวันนี้
ผมมาเข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำให้พระองค์ท่านไม่พอพระทัยคือ ความรู้สึกด้านเดียวของผมขณะหาข้อมูลทำสารคดีเรื่องนี้ ที่มุ่งมั่นจะรักษาพระเกียรติยศของพระองค์ท่านที่ถูกบันทึกไว้อย่างบิดเบือนในพระราชพงศาวดารไทยทุกฉบับ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัยที่ชำระไว้ โดยลืมนึกถึงคุณูปการที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีต่อแผ่นดินไทย
ผมมั่นใจว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระเมตตามาเตือนสติผมให้คิดอะไรรอบด้านมากขึ้น
สารคดีเรื่องนี้ ผมใช้เวลาเขียนกว่า ๓ เดือน นานกว่าทุกเรื่องที่เคยเขียนมา และบทสุดท้ายของสารคดีเรื่องนี้ ผมมั่นใจว่า ถ้ามิใช่พระองค์ท่านทรงมาดลใจให้เขียน ลำพังตัวผมเอง คงไม่สามารถเขียนออกมาได้อย่างนี้ ลองอ่านดู ....
สารคดีเรื่องนี้ มิใช่งานวิจัย ทั้งผู้เขียนก็มิได้เป็นทั้งนักวิจัยหรือนักประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเจตนาเพียงเพื่อต้องการประมวลเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่บันทึกและพูดถึงกันในที่ต่าง ๆ อย่างกระจัดกระจายให้เป็นระบบที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งนำเสนอเรื่องราวบางมุมที่บางท่านอาจไม่เคยทราบมาก่อน ทั้งที่บันทึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่หาอ่านยากบางฉบับ และที่เป็นประวัติศาสตร์บอกเล่าที่มีหลักฐานทางโบราณคดีรองรับ เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของพระองค์ท่านและประวัติศาสตร์ของชาติในช่วงนั้นให้สมบูรณ์ต่อไป
ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องราวในอดีตเป็นความจริงที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ หน้าที่ของเราคือ เคารพความจริงที่มีหลักฐานข้อเท็จจริงรองรับ รักษาพระเกียรติยศของมหาราชที่ทรงกอบกู้รักษาผืนแผ่นดินนี้ให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างไม่เป็นข้าทาสใคร ขณะเดียวกันก็ไม่ควรนำเรื่องราวในประวัติศาสตร์และบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สูญเสียชีวิตไปแล้ว มาสร้างความแตกแยกขัดแย้งให้กับคนไทยในปัจจุบันอีก เพราะไม่ว่าเรื่องราวของการผลัดแผ่นดินในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ จะเป็นเช่นไร ความขัดแย้งระหว่างสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จะมีอยู่จริงหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มหาราชทั้ง ๒ พระองค์ ล้วนทรงอุทิศเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยมาด้วยกันทั้ง ๒ พระองค์
ถ้าประเทศไทยไม่มีมหาราชทั้ง ๒ พระองค์นี้ ประเทศพม่าอาจมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่านี้ และเราอาจกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าเหมือนมอญ หรือ กระเหรี่ยงไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้”
นี่แหละครับ อาถรรพ์ครั้งแรกที่ทำให้ผมมั่นใจว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านยังทรงมองดูแผ่นดินที่ท่านรักและหวงแหนอยู่ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเสียสละพระองค์เองอย่างไม่มีเงื่อนไขเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินที่ท่านทรงอุทิศเลือดเนื้อและชีวิตให้ตลอดมา
สำหรับ อาถรรพ์ครั้งที่ ๒ ที่บ้านเกิดของโฮจิมินห์ ที่คอมมูนกิมเลียน อำเภอนามด่าน จังหวัดเหงะห์อาน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นั้น จะขอเล่าสรุปเพียงสังเขปว่า ขณะหาข้อมูลเพื่อเขียนสารคดีเรื่อง “๑๙ เดือนในไทยของโฮจิมินห์ เทพเจ้าที่ยังมีชีวิตของชาวเวียดนาม” นั้น นอกจากจะประสบปัญหาเรื่องไม่มีข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับโฮจิมินห์ในไทยแล้ว ในหมู่เหวียดเกี่ยวที่อาศัยอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ที่โฮจิมินห์เคยเข้ามาพักอาศัย ก็มีข้อมูลกันคนละชุด เหมือนกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง จนผมต้องตัดสินใจเดินทางไปหาข้อมูลต่อที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ในกรุงฮานอย ซึ่งก็ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับโฮจิมินห์ในไทยอีกเช่นกัน ในที่สุดผมจึงเดินทางต่อไปที่บ้านเกิดของโฮจิมินห์ ที่คอมมูนกิมเลียน อำเภอนามด่าน จังหวัดเหงะห์อาน และได้มีโอกาสพบกับ เหวียนซิงห์เตี๋ยน ประธานคนปัจจุบันของตระกูลเหวียนซิงห์ ซึ่งเป็นตระกูลของโฮจิมินห์ เป็นญาติทางปู่ย่า และมีศักดิ์เป็นหลานของโฮจิมินห์
เหวียนซิงห์เตี๋ยนบอกผมว่า ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กอยู่มาก ไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับการปฏิวัติของโฮจิมิห์เลย แต่ขณะคุยกันเรื่อยเปื่อยไปสักพักซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องราวการปฏิวัติของโฮจิมินห์ อยู่ ๆ เหวียนซิงห์เตี๋ยน ก็พูดรายละเอียดของความลับ ๒ เรื่อง ที่ผมอยากรู้และตามหาคำตอบมาถึงเวียดนาม (ความลับ ๒ เรื่องนี้คืออะไร ต้องไปหาอ่านในสารคดีเองนะครับ) โดยที่ผมและล่ามที่ไปด้วย ไม่ได้เอ่ยปากถามเลย ตัวล่ามเองถึงกับขนลุกขณะแปลให้ผมฟัง และยืนยันว่า เหวียนซิงห์เตี๋ยน พูดออกมาเอง เขายังไม่ได้ถามเลย เพราะ เหวียนซิงห์เตี๋ยน ออกตัวไว้ตอนแรกแล้วว่าตอนนั้นตนยังเป็นเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย !
โฮจิมินห์คงสงสาร เห็นผมอุตส่าห์เดินทางมาหาคำตอบจนถึงบ้านเกิดของท่าน เลยดลบันดาลให้หลานชายที่บอกว่าเป็นเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พูดเรื่องราวที่ผมตามหาเหล่านั้นออกมา
นี่แหละครับ ที่ผมเชื่อว่า บุรพกษัตริย์ และ บรรพชน ที่ต่อสู้เสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินที่ท่านรักและหวงแหน แม้ตัวท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่ท่านยังคงมองดูแผ่นดินของท่าน ไม่ทอดทิ้งไปไหน
ใครที่ทำร้ายแผ่นดิน ไม่ว่าจะอยู่สูงแค่ไหน หรือต่ำเพียงไร ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำดีลลับ หรือ คนที่เป็นนักโทษเทวดา คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ ปลัดกระทรวงยุติธรรม คนที่เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรือ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หรือ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งพรรคการเมือง และ นักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่อันสมควรและถูกต้องของตน
ถ้าคิดว่า พระสยามเทวาธิราชไม่มีอยู่จริง ถ้าคิดว่า บุรพกษัตริย์ไทย และ บรรพชนไทย ไม่ได้ดูแลแผ่นดินของท่าน และจ้องมองการกระทำชั่วต่อแผ่นดินอยู่
ก็จงทำความชั่วต่อไป !
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี