ตอนที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ เป็นช่วงค่ำวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2567 ยังมีการสาดน้ำและเปิดเพลงตื๊ดๆ ให้เต้นกันทั่วทุกหัวระแหง แต่หลายคนไม่มีโอกาสได้สนุกอีกแล้ว บ้างไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางบ้างไปถึงแต่กลับไม่ได้
ตรวจสอบข้อมูลจาก ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 โดย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบรรดาหน่วยงานภาคีเครือข่าย ซึ่งรวมตัวเลขอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน ถึงวันที่ 16 เมษายน หรือที่เรียกกันว่า “7 วันอันตราย”
ปรากฏว่า เฉพาะวันที่ 13 เมษายน หรือวันที่ 3 ของระยะเวลา 7 วัน สถิติอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้น 392 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 411 คน ผู้เสียชีวิต 48 ราย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 40.05, ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 27.81 และตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 16.84
เมื่อเอาตัวเลข 3 วันแรกมารวมกันเกิดอุบัติเหตุมากถึง 936 ครั้ง บาดเจ็บ 968 คนและเสียชีวิตแล้ว 116 ราย ยังไม่รู้ว่า เมื่อถึงวันสุดท้ายของ 7 วันอันตราย คือวันที่ 16 เมษายน จะมียอดรวมเท่าไหร่
เป็นเรื่องซ้ำซากสำหรับประเทศไทย โครงการรณรงค์ “ขับขี่อย่างปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” มีมาอย่างต่อเนื่อง และถูกหยิบยกมาพูดถึงเสมอในช่วงเวลาของการหยุดปีใหม่ ระหว่างปลายเดือนธันวาคมต่อต้นเดือนมกราคม และช่วงหยุดยาวตอนสงกรานต์ แต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกปีเรายังต้องมาลุ้นกันว่า คนตายกลายเป็นศพจะทำลายสถิติเก่าหรือไม่
น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ไม่ได้มีวันหยุดกับใครเขาในช่วงเทศกาล ต้องออกมาทำงานท่ามกลางไอร้อนระอุของสภาพอากาศในฤดูร้อน คอยดูแลความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้คนที่เดินทางไปเฉลิมฉลองวันหยุดกัน ขณะที่ยังมีคนอีกมากที่ขาดจิตสำนึกของการอยู่ร่วมกันในสังคม
คนที่เมามายขณะขับรถ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ หรือคนที่เร่งร้อนจะไปให้ถึงจุดหมายด้วยการขับรถโดยประมาท ถ้าเกิดอุบัติเหตุตายเฉพาะตัวเองก็คงไม่เท่าไหร่ จะมีก็แค่คนในครอบครัวของตนเสียใจ แต่ที่เลวร้ายคือทำให้คนอื่นบาดเจ็บล้มตายไปด้วย ทำให้เกิดคนพิการอีกนับไม่ถ้วน
การมีโครงการ “ขับขี่อย่างปลอดภัยเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” แต่ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย บอกได้อย่างหนึ่งว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นพวกที่พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้ฟัง หรือหนักกว่านั้นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ เป็น “อเวไนยสัตว์” สัตว์ที่สอนไม่ได้ จะพร่ำพูด จ้ำจี้จ้ำไชขนาดไหนก็ไม่เข้าหูและแปรสภาพเป็นความรู้อยู่ในกะโหลก เพราะถ้าเป็นเวไนยสัตว์ โครงการแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมี
การขาดจิตสำนึกของการอยู่ร่วมกันในสังคมของคนไทยจำนวนหนึ่ง (ซึ่งไม่ใช่จำนวนน้อยๆ) ไม่ได้มีเฉพาะการขับรถบนท้องถนน ยังมีการละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นขาดความเกรงอกเกรงใจ โดยเฉพาะในช่วงที่มีเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นปีใหม่, ลอยกระทง, สงกรานต์ หรือกระทั่งงานบวช งานแต่ง
เราจะพบการใช้เครื่องเสียงประโคมเพลงตื๊ดๆ ไร้รสนิยมตั้งแต่เช้ายันดึกอยู่เสมอ ไม่สนใจว่าบ้านข้างเคียงจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน, พบการจุดประทัด จุดพลุเสียงดังและอันตราย, พบการสาดน้ำใส่โดยไม่เลือกหน้าว่าใครเขาจะมีธุระหรือต้องไปทำงาน, พบการฉวยโอกาสลวนลามผู้หญิงในที่ที่มีคนเบียดเสียด ฯลฯ
ทั้งหมดนี้คือความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ซึ่งนับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคม
มีเพื่อนสูงวัยหลายคนเอ่ยปากว่า อยากให้นำวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ซึ่งทุกวันนี้ไม่มีสอนกันในโรงเรียน กลับมาสอนกันใหม่ ผมก็ไม่ได้ไปขัดคออะไรพวกเขาแต่คิดว่าคงไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะคนทุกวันนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมือถือ คิดว่าตนฉลาดรอบรู้แล้วจากสิ่งที่สื่อผ่านมาทางโซเชียลมีเดีย มารยาทและกาลเทศะไม่ใช่เรื่องจำเป็น เช่นเดียวกับความถูกต้อง
เขียนถึงตรงนี้ก็คงไม่แปลกใจกันแล้วใช่ไหมว่า เราได้นักการเมืองอย่างที่เห็นและเป็นอยู่นี้มาจากไหน
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี