ผมไม่เชื่อว่าเมื่อพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศแล้วล้มเหลว จะส่งผลให้ในสมัยต่อไปจะมีคนเลือกน้อยลง จนมีสภาพอ่อนแรงเหมือนพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมในปัจจุบันนี้
พรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจว่าใครจะบริหารเก่งหรือไม่เก่ง โกงหรือไม่โกง แต่เขาเลือกเพราะเหตุผลอื่น เช่น นโยบายที่เกี่ยวกับเงินที่จะได้อย่างง่ายๆ และ “ความภักดีต่อพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณ”
แต่ผมก็ยอม (ไม่ใช่อยาก) ให้พรรคก้าวไกลได้บริหารประเทศเมื่อเขาได้คะแนนมากที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ (ผิด ถูก ดี ชั่ว เก่ง ไม่เก่ง ไปว่ากันตามเหตุ) แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพราะคุณทักษิณต้องการเอาตัวรอดกลับไทย และคนระดับนำของฝ่ายอนุรักษนิยมกลัวพรรคก้าวไกลเกินเหตุ
แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันที่มองทางไหนก็มีแต่ปัญหา ชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน กระบวนการยุติธรรมคลายความขลัง นักการเมืองไม่มีความสามารถบริหารประเทศอย่างคุยโวไว้ตอนหาเสียง ซ้ำกลับพยายามจะใช้นโยบายประชานิยมแบบสิ้นคิด เพื่อให้ประชาชนเสพติดพรรคของตนที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า พร้อมกันนั้นก็จะได้ถือโอกาสหากินอย่างที่เคยทำมา
เจ้าของพรรคก็มุ่งมั่นแต่จะแก้แค้นเอาคืน ทั้งเงิน ทั้งคน ทั้งประเทศ
สภาพบ้านเมืองจึงซึมเซา การเมืองสับสนคลุมเครือ มองหาทางออกไม่เห็น ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจ จนลืมไปว่านายทหารบางคนนั่นแหละที่มีส่วนให้คุณทักษิณกลับมา จนเป็นเหตุให้บ้านเมือง “มั่ว” อย่างที่เห็นทุกวันนี้
ผมไม่เห็นด้วยที่จะให้ทหารยึดอำนาจ มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบยั่งยืน และก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อทหารมีอำนาจแล้วจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ โดยเฉพาะปัญหาที่สั่งสมถมทับกันมานาน
ดูรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวอย่าง ที่ประกาศว่าจะกำจัดคอร์รัปชั่น ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสาธารณสุข ปฏิรูปตำรวจ (จำไม่ได้ว่าจะปฏิรูปกองทัพและกำจัดยาเสพติดด้วยหรือไม่) ก็ทำไม่ได้สักอย่าง (แต่ทำได้ดีในเรื่องอื่นๆ อย่างโควิด-19 การสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน)
ทหารจึงไม่ใช่ยาสารพัดนึกที่พลเมืองนึกจะ “ให้ทำ-ให้แก้” ปัญหาอะไรก็ทำ-ก็แก้ได้หมด! จนลืมนึกไปว่า “เขาอาจจะสั่งให้เราทำอะไรตามใจเขาก็ได้!”
คำถามคือ “แล้วจะทำอย่างไรที่จะกำจัดพวกนักการเมืองชั่ว โกงบ้านกินเมือง ไร้น้ำยา บ้าอำนาจ พลเมืองถูกเสี้ยมให้แตกแยกแบ่งฝ่ายกลายเป็นศัตรูกันเพื่อนักการเมือง?”
ผมก็ตอบได้แค่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
พลเมืองจะต้องต่อสู้ด้วยน้ำพักน้ำแรงและสติปัญญาของตน
ต่อสู้ตั้งแต่ระดับบุคคลในโลกออนไลน์และโลกจริง การรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นขบวนการ มีองค์กรของตน มีสื่อของตน เมื่อสู้แล้วก็ต้องมั่นใจว่าตนจะรับมือได้ จัดการได้ รักษาดุลยภาพได้ทุกขั้นตอน นั่นคือยังรักษาอำนาจไว้กับขบวนการต่อสู้ของตนโดยไม่ต้องพึ่ง “อำนาจอื่น” จนมันมีอิทธิพลเหนือกว่า
ไม่ใช่ต่อสู้ไปจนถึงทางตันแล้วเกิดกลัวขึ้นมา จึงต้องกวักมือเรียก “ตาอยู่” มาคว้าพุงปลาไปกิน
หรือแกนนำแอบตกลงกันไว้ก่อน แล้วปลุกระดมพลเมืองออกไปสู้
ลืมความเหนื่อยยาก ลืมการเสี่ยงตายและเสี่ยงคุก ลืมคนที่บาดเจ็บ ลืมคนที่ล้มตาย โดยไม่มีโอกาสได้รู้ว่า สุดทางแห่งการต่อสู้นั้นเป็นอย่างไร เขาเห็นด้วยหรือไม่กับการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของแกนนำ สำหรับผมถือว่าไม่ยุติธรรมกับคนเหล่านั้น
ถ้าต่อสู้แล้วจบลงอย่างที่เคยทำกันมา (ทุกม็อบ ทุกขบวนการ ที่ต่อสู้เพื่อบุคคล เพื่ออำนาจอื่น) มันไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้จริงซ้ำกลับสร้างปัญหาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก จนกลายเป็นว่า “การต่อสู้” นั้นก็เป็นเหตุหนึ่งของปัญหา
“พลเมืองต้องต่อสู้เพื่ออำนาจของพลเมือง และต้องใช้อำนาจนั้นจัดการบ้านเมืองเอง” โดยการสร้างและเลือกคนที่มีความรู้-มีความสามารถเป็นคณะผู้แทนการใช้อำนาจของตน เพื่อจัดการกับ “คนและปัญหา” ตามเป้าหมายของการต่อสู้
“อำนาจของพลเมือง” ที่ได้มาจากการต่อสู้ไม่ใช่การกุศล ที่จะบริจาคให้คนนั้นคนโน้นไปใช้แทน ไม่ว่าคนที่ได้รับบริจาคอำนาจไปนั้นจะดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่ง ไม่เช่นนั้นพลเมืองจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้และได้พึ่งตนเอง และการต่อสู้ก็จะวนซ้ำไม่จบสิ้น
ที่เพิ่มมากขึ้นก็คือเวลา เงิน ทรัพยากรต่างๆ คนที่บาดเจ็บ พิการ และต้องโทษ
ดังนั้น จึงต้องสู้ในระดับที่ไม่เกินศักยภาพของตน
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี