ไม่นานมานี้ มีภาพทางโซเชียลมีเดียการจุดบั้งไฟทะยานขึ้นในเขตจังหวัดอุบลราชธานี สูงราวๆ 8,000 ฟุต อยู่ห่างจากเครื่องบินลำหนึ่งที่กำลังขึ้นจากสนามบินประมาณไม่ถึง 200 เมตร และปรากฏว่า ได้มีนักบินจากเครื่องบินหลายลำได้แจ้งหอบังคับการบิน ตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีการรายงานการขออนุญาต
แม้จะมีกฎเกณฑ์ให้มีการขออนุญาตว่า การจุดและปล่อย บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมควัน ต้องได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการเขต หรือนายอำเภอในท้องที่ไม่น้อยกว่า 15 วัน และแจ้งข้อมูล วัน, เวลา, สถานที่, จำนวน และขนาด พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ผู้ประสานงานให้ท่าอากาศยาน หรือ ศูนย์ควบคุมการบินในพื้นที่รับทราบล่วงหน้า 7 วัน (ขนาดและช่วงเวลาการจุดให้เป็นไปตามประกาศของจังหวัด) ถ้าไม่ขออนุญาตก็จะมีโทษจำคุกและปรับ
แต่ก็ “ตามใจคือไทยแท้” ไม่ใช่ทุกคนที่จุดบั้งไฟจะแจ้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานผู้เกี่ยวข้อง อย่างกรณีที่เป็นข่าวอ่านแล้วก็ชวนเสียวสยองเป็นอย่างยิ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุที่นำความสูญเสียครั้งใหญ่
ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทย รวมไปถึงลาว มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆ หลักๆ ก็คือเป็นการบูชา พระยาแถน หรือ เทพวัสสกาลเทพบุตร ตามความเชื่อว่า พระยาแถนจะช่วยให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ถ้าหมู่บ้านใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟจะอยู่แถวๆ เดือนหกหรือพฤษภาคมถึงมิถุนายนของทุกปี
ย้อนหลังสมัยก่อน การเดินทางทางอากาศยังมีไม่มาก เที่ยวบินระหว่างหัวเมืองที่มีสนามบินอาจจะมีวันละแค่เที่ยวเดียว การปล่อยบั้งไฟ (เช่นเดียวกับโคมลอย) ยังไม่ก่อเกิดอุปสรรคและอันตรายต่อการบิน แต่ทุกวันนี้มีการบินกันถี่ยิบ ทั้งในประเทศและจากต่างประเทศผ่านน่านฟ้าไทยนกตัวเดียวยังเคยทำให้เครื่องบินตกมาแล้วในอดีต
ยิ่งกว่านั้น มีพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนไปจากวัฒนธรรมหรือประเพณีท้องถิ่นดั้งเดิม ทุกวันนี้ระหว่างที่ทำบั้งไฟกัน ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครคิดถึงการบูชาเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีแต่คิดถึงการแข่งขันหรือการพนันขันต่อ จะยังไงให้บั้งไฟของเราขนาดใหญ่กว่าของคนอื่นพุ่งสูงขึ้นกว่า และใช้วัสดุทำเชื้อเพลิงแรงสูงกว่า
การจุดบั้งไฟเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมทิศทาง หรือพูดตรงๆ ก็คือคุมไม่ได้คุณภาพและความปลอดภัยก็คุมยาก เพราะต่างคนต่างทำแบบบอกวิธีกรรมวิธีการต่อๆกันมา ถ้าไม่ลืมกันเร็วนัก เคยมีข่าวบั้งไฟระเบิด บั้งไฟพุ่งเข้าหาบ้านเรือนและผู้คน จนมีคนตายมาแล้วหลายครั้ง
จริงๆ แล้ว มีประเพณีหลายอย่างที่ไม่รู้ที่มาที่ไปที่แน่ชัด และไม่มีใครบอกได้ว่ามีประโยชน์อย่างไร เช่น การจุดบั้งไฟ, การปล่อยโคมลอย, การยิงปืนไล่ราหูในวันจันทรุปราคา หรือการจุดประทัดกันเป็นบ้าเป็นหลังในวันลอยกระทง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สังคมหนาแน่นด้วยผู้คนและการเดินทาง ประเพณีใดที่สร้างภยันตรายก็ควรยุติ หรือมีการห้ามด้วยตัวบทกฎหมายอย่างเป็นทางการ
เขียนแบบนี้อาจจะมีคนจำนวนมากโกรธเกลียด แต่ในความเป็นจริง เราควรมาดูผลร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ในเมื่อบั้งไฟยากจะควบคุมทิศทาง โคมลอยยากจะควบคุมทิศทาง ปืนที่ยิงขึ้นฟ้าแล้วกระสุนตกลงมาโดนคนตายก็มีแล้ว ประทัดแรงๆ ก็ยังทำให้คนแขนขาดหรือเสียชีวิตกันมาแล้ว ดังนั้นก็น่าจะตัดปัญหาไปเสียตั้งแต่แรก ใครจะรับผิดชอบถ้าเครื่องบินลำหนึ่งต้องตกลงเพราะบั้งไฟหรือโคมลอย ผู้โดยสารนับร้อยตายยกลำ
ควรจะพอได้แล้วกับประเพณีที่ไร้ประโยชน์และทำอันตราย เพราะสิ่งที่ควบคุมที่สุดก็คือคน
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี