ถือว่าออกมาอธิบายได้ทันควันทันใจ น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการอธิบายในเฟซบุ๊กของกรมทรัพยากรธรณี หลังจากที่มีการแพร่ภาพ ก้อนหินที่มีวัตถุคล้ายเมล็ดข้าวสารจำนวนมากฝังตัวอยู่ข้างใน ชาวบ้านก็เชื่อกันว่า เกิดจากอำนาจวาจาสิทธิ์ของพระร่วง
กองคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ ของกรมทรัพยากรธรณี ให้ข้อมูลว่า ข้าวสารในก้อนหินที่เป็นข่าวนั้น ที่จริงคือซากดึกดำบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเรียกว่า ฟอแรมมินิเฟอรา(Foraminifera) มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า ฟิวซูลินิด(Fusulinids) เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ลักษณะรูปร่างเป็นทรงรี คล้ายเมล็ดข้าวสาร จึงถูกเรียกว่า “ข้าวสารหิน” หรือ “คตข้าวสาร” มักพบตามภูเขาหินปูนยุคเพอร์เมียน กระจายตัวอยู่หลายแห่งทั่วประเทศไทย และกระจายตัวและอาศัยในมหาสมุทรโบราณทั่วโลก เมื่อราวๆ 359-252 ล้านปี ไล่ลงมา เก่ากว่าไดโนเสาร์ว่างั้นเถอะ
เอาคร่าวๆ ประมาณนี้พอ เพราะผมเองเจอศัพท์ทางชีววิทยาหรือธรณีวิทยาก็มึนตึ้บเหมือนกัน สรุปว่าไม่ได้เกิดจากวาจาสิทธิ์ของพระร่วงแต่อย่างใด
แต่ถึงกองคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์จะตั้งใจดี เจตนาให้ข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้ใครถูกหลอก ผมก็มั่นใจว่า ยังมีคนอีกมากที่ไม่รู้ข้อมูลนี้ เพราะเพจที่เป็นของทางการ หรือเป็นความรู้หนักๆ ไม่สนุกเหมือนดูติ๊ก-ต็อกและอีกพวกที่รู้ แต่ไม่สนใจ ยังเชื่อว่าเป็นวาจาสิทธิ์พระร่วงอยู่ แบบว่า เชื่อแล้ว เชื่ออยู่เชื่อต่อ
เช่นเดียวกับขบวนการเชื่อมจิต ซึ่ง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมายืนยันว่า ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ก็ยังมีคนเลื่อมใส เอาหน้าผาก เอาหัวไปให้เด็กอายุ 8 ขวบจิ้มอยู่นั่นเอง
ไล่ๆ กันก็มี อาจารย์น้องหญิง อ้างว่าใช้คลื่นพลังบุญพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ รักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคร้าย รายนี้ตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดอุดรธานีจับไปแล้ว แต่ต่อมาได้ประกันตัว แถมไปออกรายการทีวี.อีกด้วย
ถัดมาก็มีผู้ชายแต่งตัวเหมือนพระ แต่เป็นสีดำทั้งชุด อ้างว่าตนเองเป็นผู้สืบทอดหรือร่างทรง หลวงปู่เทพโลกอุดร หรือ หลวงปู่ใหญ่ ซึ่งตามตำนานว่าเป็นพระอุตตรเถระ เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาบริเวณดินแดนสุวรรณภูมิ กับพระโสณเถระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อประมาณพ.ศ. 236
ทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้ว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร มีตัวตนจริงหรือไม่ ไอ้นี่รับสะเดาะเคราะห์เป็นเงินหลักหมื่น ก็มีคนไปเสียเงินให้ไม่รู้เท่าไหร่ ตอนหลังหายตัวไปแล้ว คล้ายๆ รู้ว่าจะถูกจับ อันนี้ก็คงเป็นฌานวิเศษอย่างหนึ่ง
เหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เป็นข่าว ยังมีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ และสำนักประหลาดวิปริตวิตถารอีกมากมายในเมืองไทย ผมไม่ได้คิดว่า ความเชื่อของผู้คนอีกมากในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องผิด เพราะถือเป็นเรื่องของจิตใจแต่ละคนบางคนกำลังอยู่ในทุกข์ จิตใจอ่อนแอเปราะบาง ก็หาที่ยึดเหนี่ยว ไหว้พระไหว้เจ้าแล้วก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ความรัก หรือฐานะที่รวยขึ้น (อันนี้เรื่องใหญ่)
คนเหล่านี้ก็จึงกลายเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นที่มาในคราบของผู้อุตริเหนือมนุษย์ สร้างสตอรี่ที่มาอย่างพิสดาร มีเวทมนตร์คาถาวิเศษต่างๆ นานา
แต่ที่น่าเวทนาคือ แม้จะมีข้อพิสูจน์ที่ยืนยันได้อย่างมีเหตุมีผลเท่าไหร่ คนจิตอ่อนเหล่านี้ก็ไม่ฟัง บ้างเถียงแทนพวกลวงโลกเสียด้วยซ้ำ บ้างก็เงียบหายไปเฉยๆ หลังจากรู้ความจริง แทนที่จะฟ้องเจ้าหน้าที่หรือช่วยออกมาเปิดโปง อาจจะเป็นเพราะอับอายที่ครั้งหนึ่งตนเองถลำเข้าไปหา เข้าไปเสียเงินเสียทองให้เจ้าพ่อเจ้าแม่พวกนั้น พูดง่ายๆคือกลัวถูกหาว่าโง่นั่นแหละ
ผมเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์พระหรือวัดใหญ่ๆ ที่สั่งสอนผิดเพี้ยนมานับครั้งไม่ถ้วนไม่อยู่ในคำสอนหลักๆ ของพระพุทธเจ้า แต่วัดเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ และมีคนเอาเงินทองไปทุ่มเทกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อยู่เสมอ หมดเนื้อหมดตัว ครอบครัวแตกสลาย ก็ยังไม่สำเหนียก จนอดคิดไม่ได้ว่า หรือเราเองที่บาปหนาเกินกว่าจะพูดเรื่องราวแบบนี้
แต่ตอนหลังคล้ายผมมีภูมิต้านทานมากขึ้น เจอเรื่องราวทำนองนี้จะไม่ค่อย “แอ๊ะ” ผมอาจจะบาปหนักขึ้นก็เป็นได้ เพราะผมชักเริ่มดูความเชื่ออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทำนองนี้เหมือนรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ ดูเอาขำๆ ไป ส่วนใครอยากจะโง่ก็โง่ให้สาแก่ใจ
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี