ผมไม่แปลกใจเลยที่ผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้าฯนั้นพรรคก้าวไกลได้คะแนนสูงสุด และพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมต่ำเตี้ย แต่เคยแปลกใจตอนเลือกตั้ง สส. ครั้งที่ผ่านมาที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนอันดับ 1 แซงเพื่อไทย
ผลโพลล์ดังกล่าวบอกว่า พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียง สส.แบ่งเขต 161 ปาร์ตี้ลิสต์ 47 รวม 208 เสียง ส่วนเพื่อไทยยังครองอันดับ 2 ไว้ได้ แต่คะแนนหายไปมาก คือได้ สส.เขต 84 ปาร์ตี้ลิสต์ 21 รวม 105 เสียง
แม้จะเป็นเพียงผลโพลล์ แต่ก็ทำให้พรรคก้าวไกลและกองเชียร์ฮึกเหิมเหมือนได้ยาโด๊ป จนคาดการณ์กันว่าเมื่อถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกลจะได้ สส.ไม่น้อยกว่า250 เสียง กูรู สื่อ คนดังทุกวงการต่างก็เชียร์ให้ได้ถึง 300 เสียง จะได้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
จึงไม่แปลกใจที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยส่วน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มก้าวหน้าก็ประกาศล้างบางอำนาจเก่า
แต่ยังเหลือเวลาอีก 3 ปี อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ รวมทั้งการกลืนน้ำลายแห่ง“อหังการ-มมังการ” ที่ละเลงในวันนี้ เพราะการเมืองเป็นเรื่อง “อำนาจและผลประโยชน์”ซึ่งเป็นของโปรดของนักการเมืองทุกคนที่ได้พิสูจน์มานับครั้งและนับคนไม่ถ้วนว่า “มีข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้” อยู่เสมอ
เพราะยังมีเหตุปัจจัยอีกมากที่จะบั่นทอนให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลง เช่น โดนยุบพรรค ซึ่งนอกจากจะต้องหาพรรคใหม่แล้ว ตัวแสดงเด่นๆ ก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
จำนวนมาก แม้มีแถว 3 ขึ้นมาแทนก็ยังไม่แข็งแรง ยกเว้นหาตัวใหม่ๆ เก่งๆ เข้าร่วมพรรค
แม้จะมีอุปสรรคหลายอย่าง ผมก็ยังเชื่อว่าพรรคก้าวไกลในชื่ออื่น (ถ้าโดนยุบพรรค)ก็จะยังได้รับความนิยมต่อไป และจะเป็นพรรคที่ได้ สส. อันดับ 1 มากกว่าทุกพรรค
ตอนเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผมเคยบอกว่าคนเลือกพรรคก้าวไกลส่วนมากเพราะนโยบายเกี่ยวกับเงินอุดหนุนต่างๆ เช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ อีกส่วนหนึ่งเลือกเพราะนโยบายรัฐสวัสดิการ (ตามความเข้าใจของคนเลือก) ซึ่งส่วนมากก็เป็นคนหนุ่ม-สาว นอกนั้นก็เพราะนโยบายปฏิรูปต่างๆ อย่าง ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปการศึกษา ส่วนนโยบายยกเลิกหรือปฏิรูปมาตรา 112 นั้นคนเลือกน้อยกว่านโยบายอื่น และคนที่เลือกก็ไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลหมกซ่อนเจตนาอะไรไว้
จะมีก็แต่ “พวกไม่เอาเจ้า” ที่ตั้งใจเลือก
แต่เมื่อผลโพลล์ครั้งนี้มีคนเลือกพรรคก้าวไกลมากขึ้นและมากกว่าทุกพรรค ทั้งที่เรื่อง “มาตรา 112 กับพรรคก้าวไกล” นั้นเป็นข่าวครึกโครมรู้กันไปทั่วสังคม รวมทั้งศาลก็ชี้ว่าพรรคก้าวไกล “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” สถาบันหลักของชาติ
แต่ทำไมยังมีคนเลือกมากกว่าเดิม?
ผมจึงแน่ใจที่จะตอบว่า “มาถึงวันนี้คนที่เลือกพรรคก้าวไกลเขาไม่สน!”
ไม่สนเพราะไม่สนใจ ไม่ให้ความสำคัญ กระทั่งไม่เห็นความสำคัญอีกต่อไป ส่วนพวกซ้ายเก่า ซ้ายแก่ ซ้ายใหม่ และพวกที่ถูกปั่นหัวให้เกลียดชังอาฆาตแค้นพระมหากษัตริย์นั้นไม่เอาอยู่แล้ว
พวกเขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์และสถาบันฯจะมีหรือไม่มี ก็ไม่มีผลอะไรต่อชีวิตและความหวังของพวกเขา
พวกเขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะสามารถทำได้ดังที่โฆษณาไว้ แม้ทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียไปมากกว่า
ในปัจจุบัน ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นการเมืองน้ำเน่า วนเวียนแต่เรื่องอำนาจและผลประโยชน์ของพวกนักการเมืองเท่านั้น
(ส่วนประชาชนผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ก็แค่รอรับเศษเดนภาษีจากพวกนักการเมือง)
ดังนั้น พวกนักการเมืองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี่แหละ ที่เป็นเหตุหลักทำให้ผู้คนเหล่านี้สิ้นหวังกับการเมืองไทย รวมถึงอนาคตของพวกเขาด้วย พวกเขาจึงผละไปหาพรรคก้าวไกลด้วยความหวัง
แต่ “ความหวัง” นั้นจะเป็นจริงหรือไม่มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องรอวันที่พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังดึงดันที่จะแก้รัฐธรรมนูญ-แก้มาตรา 112 หรือพูดให้ตรงก็คือยังเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอีก ผมก็คิดว่าความหวังนั้นจะต้องแลกด้วยความโกลาหลในสังคม และไม่คุ้ม!
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี