สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องราวการเมืองที่ครึกโครมอยู่ 2 ข่าวถกกันตั้งแต่แผงยาดองริมทางถึงเลานจ์ในโรงแรมห้าดาว
ข่าวแรกคือ สำนักอัยการสูงสุดแถลงสั่งฟ้องนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร ในคดีใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่พ.ศ. 2558 ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 แต่ผู้ต้องหาเกิดป่วยกะทันหันจากการติดเชื้อโควิด-19 ไม่มาพบอัยการ ส่งทนายและใบรับรองแพทย์มาให้ดูต่างหน้า
อีกข่าวคือ การกลับมาสู่สังเวียนการเมืองอีกครั้งของ ดร.วิษณุ เครืองาม หลังจากที่เพิ่งประกาศไปเมื่อสิงหาคมปีที่แล้วหมาดๆ ว่า ขอยุติบทบาททางการเมืองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อดูแลปัญหาเรื่องสุขภาพ และอยู่กับครอบครัว
สองข่าวนี้ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอึงอลจากทุกสำนักข่าวหลัก และจากโซเชียลมีเดียของพวก wannabe อยากเป็นกูรูทางการเมือง บ้างก็วิเคราะห์ไปถึงดีลลับดีลลวง, ทฤษฎีสมคบคิด ฯลฯ ฝ่ายที่นิยมชมชอบหรือลิ่วล้อของนักโทษ ก็ออกมาตอบโต้ว่า วิเคราะห์กันจนเป็นนิยาย
แต่เท่าที่ผมติดตามอ่านและฟังมา ท่ามกลางความเหมือนและต่างทางแง่คิดมุมมองของทั้งหมด สามารถขมวดลงมาเป็นข้อสรุปได้อย่างหนึ่งว่า เกิดจากความ
ไม่เชื่อถือคนที่เป็นข่าวทั้งสองว่าจะพูดความจริง เพราะถ้าเชื่อว่าเป็นความจริง เรื่องก็คงจบตั้งแต่ออกข่าว และไม่มีอะไรต้องวิพากษ์วิจารณ์กันต่อ
เป็นเรื่องที่อดสังเวชไม่ได้ที่คนอายุ 70 กลางๆ 2 คนแม้จะมีชื่อเสียงและมีคนนับหน้าถือตา แต่ไม่มีใครเชื่อถือคำพูด
ผมไม่รู้ลึกพอที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรกับเขา แค่คิดในใจว่า “หมากเกมนี้ ฉันก็รู้ ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร...” ที่เหลือปล่อยให้สื่อที่มีหน้าที่ทางนี้เขาทำกันไป ส่วนผมก็คอยติดตามการพิจารณาคดีเหมือนชาวบ้านทั่วไป
แต่จาก 2 ข่าวนี้ ผมเกิดผุดไอเดียขึ้นมาว่า เราน่าจะมีการตรวจสภาพจิตคนที่จะเข้ามาทำงานการเมือง
สมมุติฐานอันดับแรกเลย ผมคิดว่า คนที่เข้ามาเล่นการเมืองต้องเป็นคนที่หิวแสงพอสมควร มีมาดมีท่าทางแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนคนปกติอย่างเราๆ หน้าตาจะอิ่มเอิบเวลาได้ยืนพูดอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ และได้รับเสียงปรบมือ จะนอบน้อมค้อมหลังตอนหาเสียง แต่จะดูเริ่ดเชิดหยิ่งตอนมีตำแหน่งแห่งหนแล้ว เลือดจะสูบฉีดเวลาที่มีกล้องและไมค์นักข่าวมารุมล้อม
คือมีความเป็นนักแสดงอยู่ระดับหนึ่ง แต่ที่ไม่ไปเป็นนักแสดงอาชีพเสียเลย อาจเป็นเพราะความสามารถไม่ถึง, หน้าตาทุเรศ หรือรายได้ไม่แน่นอน อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่ไม่ว่าระดับสติปัญญาจะเป็นอย่างไร อย่างหนึ่งที่พวกนี้เก่งแน่นอนคือการพูด บางคนขึ้นถึงระดับ “ผีเจาะปาก”
สมมุติฐานต่อมาก็เป็นการมีปมในจิตใจ โหยหาการยอมรับ บางคนอาจจะเป็นมาตั้งแต่เยาว์วัย เรียนหนังสือเก่ง สอบได้อันดับต้นๆ แต่ถูกล้อเลียนเรื่องหน้าตา หรือข้อบกพร่องอื่นๆ (สมัยนี้อาจจะเรียกว่า “บูลลี่”) ในทางกลับกัน บางคนอาจจะชอบโอ้อวด ยกตนข่มท่านมาตั้งกะเด็ก เอารัดเอาเปรียบคนอื่น จนมีปัญหาในการสมาคมกับเพื่อนฝูง
พอโตขึ้นมา พวกที่โหยหาการยอมรับ ต้องการเป็นหนึ่ง บางคนไม่ประสบความสำเร็จอะไรจริงๆ สักอย่างในทางธุรกิจ ถ้าไม่ใช้เล่ห์กล, วิธีใต้โต๊ะ หรือสัมปทาน
คนแบบนี้แม้ร่ำรวยแล้ว แต่พอเหลือบมองอันดับความมั่งคั่งเห็นว่า ยังมีคนที่ร่ำรวยกว่าตนมากมายนัก วิธีเดียวที่จะเหนือคนเหล่านั้นได้ก็คือหาอำนาจทางการเมือง
เช่นเดียวกับคนมีปมตั้งแต่เด็กที่ไม่มีใครคบ อำนาจทางการเมืองก็จะทำให้มีคนเข้าหา
บางคนมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ลำบากหรอก แต่มาอยู่ในการเมืองก็จะมีคนคอยให้ความเคารพนบนอบ ไปไหนมาไหนมีคนต้อนรับดูแลเหมือนศิลปินดัง ตำรวจก็ต้องคอยอารักขา ประมาณว่า “มันฟินน่ะ” เลยเสพติดอาการนี้ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ แม้ว่าโดยตัวเองจะไม่มีรังสีชวนเสน่หา (charisma) อันใดเลย ก็พยายามหาหนทางเข้าใกล้ศูนย์กลางอำนาจ ประหนึ่งดาวเคราะห์ที่วนเวียนอยู่รอบๆ ดาวฤกษ์ ไม่มีแสงในตัวเองก็เท่ได้ระดับหนึ่งล่ะ
และสมมุติฐานสุดท้าย การมีสันดานโลภโมโทสันไม่สิ้นสุด เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น แบบนี้เป็นไปได้หมด ไม่ว่าจะมาจากปูมหลังครอบครัวมีฐานะ หรือครอบครัวยากจน คนพวกนี้จะให้เป็นเบอร์ 1, 2, 3, 4... หรือเบอร์เท่าไหร่ไม่ว่า ขอเพียงแต่ได้เข้ามาใกล้และมีส่วนแบ่งจากผลประโยชน์ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเงินภาษีของขาวบ้านหรือไม่ โทษสมบัติที่แน่นอน 2 อย่าง คือ หน้าด้าน และไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
ผมคิดว่า รถที่เป็นเครื่องจักรประกอบด้วยกลไกที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ยังต้องตรวจสภาพ คนที่จะเข้ามาสู่การเมือง ซึ่งมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตของคนทั้งประเทศ นอกจากจะต้องกรอกประวัติความเป็นมาและบัญชีทรัพย์สิน ควรได้รับการตรวจสอบสภาพจิตโดยนักจิตวิเคราะห์อย่างลุ่มลึกและจริงจัง
หมายถึงทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะเราไม่รู้ว่าลึกๆ ใครมีปมอะไรบ้าง มองไม่ออก บางคนอาจจะเป็นจิตเภท เป็นไบโพลาร์ หรือไม่เต็มบาท ซึ่งในทางจิตวิทยา คนที่มีปัญหาทางจิตเวลาคิด, วิเคราะห์ หรือตัดสินใจอะไร ย่อมไม่น่าไว้วางใจ บิดเบี้ยวทั้งเหตุและผล ถ้าเป็นคนธรรมดา ผลร้ายก็เกิดแค่ตัวคน แต่เป็นคนที่มีอำนาจทางการเมือง บ่อยครั้งเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง
เมื่อดูจากความบ้าๆ บอๆ ในการเมืองทุกวันนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าลงมือตรวจสภาพจิตคนในวงการการเมืองตอนนี้เลย กว่าครึ่งในรัฐบาลและรัฐสภาอาจจะต้องพ้นตำแหน่ง และเป็นการบอกชาวบ้านที่เลือกคนพวกนี้เข้ามาว่า พวกคุณเลือกคนที่ผิดปกติทางจิต อาจมีบ้างบางคนที่คิดในใจว่า “อ้าว! กูเลือกคนบ้าเข้าไปแล้วเหรอเนี่ย” และจะไม่ทำซ้ำอีก
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ไอเดียอย่างหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่า นักการเมืองทั้งหลายคงไม่มีวันเสนอกฎหมายข้อนี้ เพราะขณะที่ประกาศอย่างห้าวหาญว่า พร้อมจะรับการตรวจสอบ สิ่งที่คนพวกนี้กลัวที่สุดคือการถูกตรวจสอบ
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี