เคยถามอเมริกันหลายคนว่าเคยรู้ไหมว่า ประเทศยูมีฟาโรห์อียิปต์เมื่อยุคสามพันปีที่แล้วมาอาศัยอยู่ ร้อยละร้อยบอกว่าไม่รู้ ความจริงอันน่ามหัศจรรย์เรื่องหนึ่งในอเมริกาคือ ครั้งหนึ่งฟาโรห์แห่งอียิปต์เคยมานอนทอดพระวรกายให้ฝรั่งอั้งม้อชม โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าร่างนี้คือฟาโรห์แห่งอียิปต์
ฟาโรห์ที่โลกรู้จักดีคือฟาโรห์ตุตันคาเมนและฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งพระองค์หลังนี่เคยไปบินไปแอ่วฝรั่งเศส แถมมีหนังสือเดินทางเสียด้วย โดยเดินทางไปฝรั่งเศสหลังสามพันกว่าปีให้หลัง เรื่องมีอยู่ว่าในปี ค.ศ.1974 หรือ พ.ศ.2517 เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ในอียิปต์ลงความเห็นว่ามัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เสื่อมสภาพเพราะความชื้น ทางการอียิปต์จึงตัดสินใจส่งมัมมี่ไปรักษาสภาพที่กรุงปารีส แต่ปัญหามีอยู่ว่า กฏหมายระบุให้ต้องทำพาสปอร์ตให้พระศพ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 จึงเป็นฟาโรห์พระองค์แรกที่ต้องทำพาสปอร์ตเดินทางไปปารีส
ตอนนั้นคิดว่ารามเสสที่ 2 ทรงพระโมเดิร์นสุดๆ แล้ว ได้บินหรูหราร่าเริงไปปารีส แต่มาเจอข้อมูลว่าเสด็จปู่ของพระองค์ ซึ่งก็คือฟาโรห์รามเสสที่ 1 เด็ดกว่านั้นอีกคือ สามพันปีหลังสวรรคต พระองค์เดินทางโดยเรือมายังแคนาดาแล้วมาอเมริกา โดยที่ไม่มีใครระแคะระคายเลยว่านี่คือ มัมมี่ฟาโรห์แห่งอียิปต์
ย้อนกลับไปในยุคกลาง มัมมี่อียิปต์กลายเป็นสินค้านำเข้าสู่ยุโรป บรรทุกกันเต็มลำเรือทีเดียว เพราะเชื่อว่าชิ้นส่วนมัมมี่สามารถนำมาทำเป็นยารักษาโรคแบบครอบจักรวาลได้ ยาที่นำชิ้นส่วนซากมัมมี่มาทำเรียกว่า “มัมเมีย”
หนักไปกว่านั้น การนำเข้ามัมมี่จากอียิปต์กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานปาร์ตี้ในหมู่ผู้ลากมากดีด้วยการคลี่ผ้าพันศพออก เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ใต้ผ้าพัน ถือเป็นหนึ่งในงานเลี้ยงรื่นเริงกันเลยทีเดียว หลังเปลื้องผ้าพันมัมมี่แล้ว ตัวไหนโชคดีได้ไปนอนยิ้มในพิพิธภัณฑ์ ตัวไหนโชคร้ายก็กลายเป็นยาผงมัมเมีย
ดร.เจมส์ ดักกลาส ชาวแคนาดาที่คลั่งไคล้เรื่องราวของมัมมี่และอียิปต์โบราณจนเดินทางไปอิยิปต์ เพื่อซื้อมัมมี่มาประดับบ้านโดยวางพิงฝาบ้านไว้ตรงระเบียง มั่นใจมากว่าบ้านนี้โจรไม่กล้าบุกยามราตรี ต่อมาในปี ค.ศ 1860 หรือ พ.ศ.2403 นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์น้ำตกไนแองการ่า ช่วงเวลานั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามนำวัตถุโบราณออกนอกอียิปต์หรือนำเข้าประเทศต่างๆ พอมัมมี่เหล่านี้มาถึง ก็จัดแสดงขึ้นขั้นวางเรียงอย่างดีให้คนชม ซึ่งคนแห่ไปชมอย่างคับคั่งเลยทีเดียว เพราะถือเป็นของแปลกที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
หนึ่งในจำนวนมัมมี่ที่จัดแสดง มีมัมมี่ตนหนึ่งไขว้มือประสานระหว่างอก แตกต่างไปจากมัมมี่ทั่วไป แถมปราศจากผ้าพันศพอีกด้วย เลยทำให้คนไม่สนใจเท่าไหร่ อย่าลืมว่าในช่วงปี 1800-1860 ยังไม่ได้มีการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน เลยไม่มีใครสงสัยว่าทำไมมัมมี่ผู้ล่อนจ้อนปราศจากผ้าพันจึงไขว้แขนไว้ที่หน้าอก ตอนนั้นผู้คนแห่ไปชมมัมมี่กันเนืองแน่น รวมทั้งอับราฮัม ลินคอล์น ยูลิลซิส แกรนด์ สองประธานาธิบดีอเมริกาด้วย
ต่อมามีการนำข้าวของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์น้ำตกไนแองการ่ามาขายทอดตลาด รวมทั้งมัมมี่อียิปต์ พิพิธภัณฑ์ไมเคิล ซี คาร์โลที่แอตแลนต้าจึงซื้อมัมมี่ทุกร่างและสมบัติอื่นมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ มัมมี่ปริศนาจึงเดินทางจากแคนาดามาสู่รัฐแอตแลนต้า ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอเมริกา
นักโบราณคดีพยายามค้นหาคำตอบว่ามัมมี่ลึกลับนี้เป็นใคร จึงติดต่อดร.ซาลิน่า ฮิคราม จากไคโรมาตรวจสอบที่แอตแลนต้า เมื่อดร.สาวจากไคโรตรวจสอบดูแล้วถึงกับอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นว่า นี่คือมัมมี่หลวงอย่างแน่นอน
ทางพิพิธภัณฑ์จึงทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ด้วยการเอ็กซเรย์มัมมี่ลึกลับ แล้วนำไปเทียบกับฟิล์มเอ็กซ์เรย์ที่เคยมีการเอ็กซเรย์มัมมี่หลวงราชวงศ์ที่ 19 ปรากฏว่า มัมมี่ลึกลับคือฟาโรห์รามเสสที่ 1
เมื่อสรุปว่ามัมมี่ปริศนาคือมัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 1 ทางพิพิธภัณฑ์จึงจัดแสดงบนครอบแก้วเพื่อเป็นเกียรติแก่ฟาโรห์อียิปต์หนึ่งเดียวในอเมริกา เพราะมัมมี่ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ไม่มีร่างไหนเลยที่เป็นมัมมี่หลวง
ทางพิพิธภัณฑ์ส่งคืนทางการอียิปต์ปลายปี ค.ศ. 2003 หรือพ.ศ.2546 โดยให้ฟาโรห์รามเสสที่ 1 เดินทางข้ามฟ้าโดยสายการบินฝรั่งเศส แถมพอถึงแผ่นดินเกิด ก็มีกองดุริยางค์ทหารอียิปต์ต้อนรับ พร้อมแถมนักข่าวทั่วโลกคอยทำข่าว ไฟแฟลชส่องวูบวาบเลยทีเดียวในช่วงนาทีที่เปิดหีบทีบรรจุร่างของพระองค์
สุดท้ายฟาโรห์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ที่ 19 ก็ได้พำนักยังแผ่นดินแม่อีกครั้ง ถือเป็นชีวิตหลังความตายที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะล่องเรือเดินสมุทรข้ามไปแคนาดา และอยู่ที่นั่นยาวนานหลายสิบปีจนเดินทางอเมริกา จนสุดท้ายได้กลับมาตุภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี