ผมก็เชื่อว่ากาลเวลา(ความเปลี่ยนแปลง) อยู่ข้างคนรุ่นใหม่และใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเป็นธรรมชาติ คนรุ่นเก่าตายไป คนรุ่นใหม่เกิดมา แต่อยู่ข้างแล้วจะเป็นอย่างไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย
ย้อนกลับไปดูเมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกนักสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ก็ประดิษฐ์วาทะเรื่อง “เวลา” กันไว้มาก เช่น “กงล้อแห่งการเวลา” “กงล้อประวัติศาสตร์” “เวลาจะอยู่ข้างเรา” (นักสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์) ตัวอย่างนี้พูดถึง “เวลาหรือความเปลี่ยนแปลง” ของลัทธิมาร์กซ์ ที่การปฏิวัติสังคมให้เป็นรัฐสังคมนิยมจะต้องมาถึงหรือเกิดขึ้น
วาทะหรือวลีเหล่านี้ล้วนเป็นคำ “ปลุกระดมและเป็นธงแห่งความหวัง” ของพวกมาร์กซิสต์ และมันได้ผลในหลายประเทศ ที่ปลุกเร้าจนมีการปฏิวัติในประเทศต่างๆ จากสังคมเดิมเปลี่ยนเป็นประเทศสังคมนิยม
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความขัดแย้ง ความแตกแยกในคณะปฏิวัติก็เกิดขึ้น!
1.ขัดแย้งและแตกแยกทั้งด้านทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์ ที่ตีความคำสอนแตกต่างกัน พวกหนึ่งเห็นว่าควรปรับแก้ลัทธิมาร์กซ์ให้เขากับ “วัฒนธรรมสำนึกของสังคม” ในแต่ละประเทศ เรียกพวกนี้ว่า “พวกลัทธิแก้” อีกพวกก็ยืนยันคำสอนเดิม
2.ขัดแย้งและแตกแยกของบรรดาแกนนำเมื่อปฏิวัติสำเร็จก็มีการแย่งชิงอำนาจกัน แต่ละคนที่เป็นแกนนำต่างก็คิดว่าตนคู่ควรกับตำแหน่งที่สำคัญ เมื่อตนได้ตำแหน่งที่ไม่ถูกใจก็เกิดความขุ่นเคือง และหมายมั่นว่าวันหนึ่งตนจะไปขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการให้ได้ จึงเกิดการทำลายล้างกันทุกวิธี มีทั้งในจีนและรัสเซีย
3.ขัดแย้งและแตกแยกระหว่างผู้ครองอำนาจรัฐกับประชาชน
ในรัสเซีย หลังการปฏิวัติเป็นสังคมนิยมแล้ว ความหวังของประชาชนที่จะได้อยู่ดีกินดีหลังปฏิวัติ กลับยิ่งอดอยากยากแค้นมากขึ้น เกิดการประท้วงของชาวนาในดินแดนชนบทอันห่างไกล สตาลินพากองทหารไปปราบชาวนาพวกนั้น เขาสั่งยิงพวกชาวนาตายไป 3,000 คน นั่นเป็นแค่ตัวอย่างเดียว ยังมีการปราบปรามเข่นฆ่าทำลายล้างประชาชนอีกมากมาย ทั้งในสมัยเลนิน และสมัยที่สตาลินขึ้นครองอำนาจ สุดท้ายประชาชนก็ยอมจำนน
ความโหดร้ายทารุณของผู้ครองอำนาจ ความอดอยากหิวโหยจนต้องกินเนื้อคนด้วยกัน ความสิ้นหวังของประชาชน การต้องทำงานหนักจนป่วยไข้และตายไป แต่ผลผลิตกลับถูกผู้ครองอำนาจยึดไปเป็นของรัฐตามคำสอนของลัทธิมาร์กซ์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เศรษฐกิจย่ำแย่ ผู้ครองอำนาจรัฐมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ประชาชนไร้อำนาจ ระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบสังคมนิยมไม่ถูกกับธรรมชาติของมนุษย์ จึงเกิดการประท้วงต่อต้านผู้คุมอำนาจรัฐ ผู้มีอำนาจรัฐก็ปราบปรามประชาชน สุดท้ายประเทศสังคมนิยมต่างๆ ก็แบกรับภาระปัญหาของตัวเองไม่ได้ ลัทธิสังคมนิยมล่มสลาย การปกครองระบอบทุนนิยมกลับมา และดำเนินมาจนทุกวันนี้
ส่วนประเทศที่ยังพยายามยึดลัทธิสังคมนิยมอยู่ก็ต้องปรับเอาลัทธิทุนนิยมเข้าช่วยอย่าง จีน ส่วนเกาหลีเหนือก็กลายเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ผมเล่ามายาวก็เพื่อจะบอกว่า “กาลเวลาจะอยู่ข้างใคร-ฝ่ายใดก็ได้” แต่มันจะไม่ยั่งยืน ถ้ามันฝืนธรรมชาติมนุษย์
พรรคการเมืองใดที่ประกาศว่าเวลาอยู่ข้างพวกเขาก็อาจเป็นไปได้ แต่มันจะไม่นาน ทุกการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของมนุษย์ แต่มันขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่มนุษย์สร้าง สร้างเหตุใส่ปัจจัยอะไรแบบไหนอย่างไร ผลก็จะออกมาเช่นนั้น
ถ้าสร้างเหตุ ใส่ปัจจัยผิด ผลมันก็ผิดจากเจตจำนง
เมื่อผลผิดจากเจตจำนง สังคมที่หมายมั่นจะให้มันเป็นต้องการก็ไม่ยอมเป็น แต่มันจะเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างปกติ เมื่อหมดความอดทนต่อการกดขี่บีบคั้นก็ย่อมจะมีการต่อต้าน เมื่อมีการต่อต้าน สิ่งเดียวที่ผู้ครองอำนาจรัฐทำกันก็คือบังคับ ปราบปราม เข่นฆ่า ทำลายล้าง แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด
เขื่อนไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าน้ำมาก มันก็เซาะกร่อนผนังเขื่อนไปเรื่อยๆ แค่ทรายเม็ดแรกเม็ดเดียวถูกเซาะออกจากตัวเขื่อน ก็จะเปิดพื้นที่ให้เม็ดต่อๆ ไปถูกเซาะออกมาไม่หยุด จนถึงสภาพหนึ่งมันก็พังทลาย
การปฏิวัติทั้งหลาย การสร้างระบอบเศรษฐกิจการเมืองด้วยการปลุกปั่นคน การเข่นฆ่าทำลายล้างผู้เห็นต่างเพื่อครองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติของมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่ลงทุนแล้วขาดทุนย่อยยับ ทั้งชีวิต ทรัพยากร และเวลา
เวลาจึงไม่ได้อยู่ข้างใคร ดังนั้นถ้าจะให้สังคมดำรงอยู่อย่างยั่งยืน ผู้มีอำนาจจึงต้องคำนึงถึง “ธรรมชาติของมนุษย์” และจัดการให้เกิดความพอดีและสมดุล เวลาจึงจะอยู่ข้างเขาอย่างยาวนาน
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี