วันที่ 13 เมษายน ปี 1919 ในเมืองอัมริตสาร์ รัฐปัญจาบ ในสวนจัลเลียนวาลา บากห์
ในขณะที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งกำลังรวมตัวพบปะกันด้วยหัวใจเบิกบานเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ และ ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งก็มารวมตัวกันเพื่อประท้วงแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอังกฤษที่จับตัวผู้นำสองคนของเขา คือ ดร.สัตยาปาล และ ดร.ไซฟุดดิน ไป
ดร.สัตยาปาล เป็นอดีตทหารในกองทัพอังกฤษที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขานับถือศาสนาฮินดู ส่วน ดร.ไซฟุดดิน เป็นทนายความ นับถือศาสนาอิสลาม
ทั้งสองคน ต่างศาสนากัน จับมือร่วมกันออกมาเรียกร้องให้ชาวอินเดียแสดงความขัดขืนต่อคำสั่งของรัฐบาลอังกฤษในแนวทางสงบ ปราศจากความรุนแรง
สิ่งที่ทั้งสองกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่รัฐบาลอังกฤษหวาดกลัวที่สุด คือ การจับมือของชาวฮินดู และ ชาวมุสลิม
(นายพลจัตวา เรจินัลด์ ไดเออร์ - ภาพจากวิกิพีเดีย)
ผู้รับผิดชอบในการรับมือกับสถานการณ์ประท้วงในสวนแห่งนี้ในวันนั้นก็คือ นายพลจัตวา เรจินัลด์ ไดเออร์ (BRIGADIER-GENERAL REGINALD DYER) ซึ่งเป็นนายทหารสายโหดที่ผ่านงานปราบจลาจลทั้งในเบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือ และ ในพม่า
เขาสั่งให้ทหารปิดทางออกจากสวนทั้งหมด จากนั้น ก็นำทหารเดินเข้าไปตามทางหนึ่ง เป็นการปิดตายทางออกจากสวน
โดยไม่มีการประกาศเตือนแต่อย่างใด นายพล ไดเออร์ ได้ออกคำสั่งให้ทหารยิงปืนนานาชนิดเข้าไปในกลุ่มฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สนใจว่า ในนั้นจะมีทั้งผู้หญิง เด็ก หรือ หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ อยู่ด้วย
(ทางเข้าของสวนจัลเลียนวัลลา บากห์ ซึ่งแคบมาก - ภาพจากวิกิพีเดีย)
ทหารลั่นกระสุนปืนเข้าใส่ฝูงชนอยู่นานประมาณ 10 นาที
ทุกคนวิ่งหนีกระสุนกันอย่างไม่คิดชีวิต หลายคนมองเห็นบ่อน้ำจึงกระโดดลงไปหวังจะหลบกระสุนปืน โดยไม่คิดว่าจะมีคนอีกจำนวนมากกระโดดตามลงไป จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำจำนวนมาก
มีทหารหน่วยหนึ่งปฎิเสธที่จะลั่นไกตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เพราะเห็นว่ามันโหดร้ายเกินไป ในที่สุดทหารเหล่านี้ก็ถูกส่งตัวขึ้นศาล และศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ทหารทั้งหมดเป็นชาวอินเดีย
สิ้นเสียเสียงปืน ทั้งสวนระงมไปด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้ที่ถูกกระสุนแต่ยังไม่ตาย ผลของการสังหารโหดครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน และบาดเจ็บอีกกว่าพันคน
หลังการยิง ทหารอังกฤษปิดทุกประตูเข้าสวน ไม่ยอมให้ใครเข้าออกโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งญาติพี่น้องที่ต้องการจะเข้าไปตามหาญาติของตัวเองว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไร หรือ ต้องการจะเอาน้ำดื่มไปให้
คนที่รอดตายถูกบังคับให้ต้องนอนอยู่บนพื้นกลางแจ้ง ภายใต้แสงแดดที่ร้อนสุดๆของเดือนเมษายน ทำให้มีคนตายจากความร้อน และ ขาดน้ำเพิ่มอีกจำนวนมาก
(ผู้รอดตายถูกบังคับให้คลานหน้าอกติดพื้นไปตามถนนที่ร้อนระอุ-ภาพจากวิกิพีเดีย)
จากนั้น พวกเขาก็ถูกบังคับให้คลานเอาหน้าอกไถไปกับพื้น ค่อยๆกระดืบตัวออกจากในสวนบนถนนที่ร้อนราวกะทะบนเตาไฟ หากใครเงยหัวขึ้นมาก็จะถูกทหารอังกฤษเอาปืนทุบหัวซ้ำ
แม้จะมีการคาดการว่า จำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะมีมากกว่า 1000 คน แต่ตัวเลขที่แน่นอนไม่เป็นที่เปิดเผย
ความโหดร้ายของรัฐบาลอังกฤษยังไม่จบเพียงแค่นั้น รอพบตอนต่อไปในสัปดาห์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี