หลังจากบากัต ซิงห์ ถูกคุมขังอยู่เกือบ 1 ปี เขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
การตายของเขาก่อให้เกิดกระแสกดดันไปยังหลายๆด้านอย่างรุนแรง ส่วนหนึ่งพุ่งตรงไปยัง มหาตะมะ คานธี ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ยอมช่วยเหลือบากัต ซิงห์ แม้ว่า เขาจะอยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือได้เพื่อให้เปลี่ยนโทษประหารให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต
(บากัต ซิงห์ ขณะถูกคุมขัง - ภาพจากวิกิพีเดีย)
อีกกระแสหนึ่งที่พุ่งตรงไปยังรัฐบาลอังกฤษที่ลอนดอน ทำให้รัฐบาลลอนดอนต้องพิจารณาอย่างหนัก เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่า ชาวอินเดียกำลังจะหมดความอดทนต่อการกดขี่ของอังกฤษ และกำลังจะตอบโต้โดยใช้ชีวิตของชาวอังกฤษเป็นเดิมพัน
นี่ยังไม่พูดถึงสิ่งที่อังกฤษเรียกว่า “กบถซีปอย” ในปี 1857 หรือ การลุกฮือขึ้นก่อการกบถต่อการปกครองของ บริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด ในปี 1857 ซึ่งเกิดขึ้นที่เมือง มีรุต อยู่ห่างจากเมืองเดลีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปประมาณ 64 กิโลเมตร
การก่อการกบถเริ่มขึ้นจากการที่พลทหารชาวอินเดียที่เรียกว่า “ซีปอย” เป็นทหารของบริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด เนื่องจากความไม่พอใจ และ ไม่ไว้ใจต่อบริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด ในหลายๆเรื่อง เช่น การเก็บภาษีที่ดินกับชาวอินเดียในอัตราที่แพงมาก การปฎิบัติของเจ้าหน้าที่บริษัทต่อเจ้าที่ดินที่ร่ำรวย และ การปฎิบัติต่อเจ้าชายในรัฐอิสระหลายรัฐ
(เครื่องแบบของทหารซีปอย – ภาพจากวิกิพีเดีย)
รวมทั้ง ชาวอินเดียมีความเคลือบแคลงใจต่อการที่บริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด อ้างว่า การเข้ามาทำธุรกิจในอินเดียก็เพื่อที่จะช่วยพัฒนาอินเดียให้ดีขึ้น
แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นตรงกันข้าม
เริ่มจากทหารในค่ายเมืองมีรุต เริ่มก่อการกบถ จากนั้นก็ขยายออกไปสู่วงกว้าง และในที่สุดก็มีประชาชนชาวอินเดียจำนวนมากเข้าร่วมกับทหารซีปอยด้วย
(ภาพพิมพ์จากไม้ แสดงฉากสงครามของซีปอยที่เมืองมีรุต-ภาพจากวิกิพีเดีย)
กระนั้น ก็ยังมีชาวอินเดียจำนวนมากที่ยังคงช่วยเหลือบริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด ในการต่อสู้กับเพื่อนร่วมชาติชาวอินเดียเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
(เซอร์ เจมส์ แลงแคสเตอร์ ผู้บัญชาการคนแรกของกองเรือของบริษัท อีสต์ อินเดีย ที่เดินทางไปยังอินเดียในปี 1601 - ภาพจากวิกิพีเดีย)
ผมจะพูดถึงเรื่องนี้ในโอกาสต่อๆไป
บริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปีเศษ คือตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1857 จนถึง วันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1858 กว่าจะปราบปรามการก่อการกบถให้สงบลงได้ ซึ่งทำให้ บริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด ต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนมหาศาล และสูญเสียเงินทองที่สะสมไว้จำนวนมาก
(ตราสัญลักษณ์ของบริษัท อีสต์ อินเดีย - ภาพจากวิกิพีเดีย)
บริษัท อีสต์ อินเดีย จำกัด คงคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วมีความเห็นว่า ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะดับไฟแห่งความไม่พอใจของบรรดาทหารที่ก่อการกบถลงได้ นอกจากการประกาศอภัยโทษให้แก่บรรดาผู้ก่อการกบถทั้งหมด ยกเว้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตรกรรมชาวอังกฤษเท่านั้น
และเพื่อที่จะหารายได้มาชดเชยค่าใช้จ่ายในการทำสงครามครั้งนี้ อีสต์ อินเดีย ก็โยนภาระ และ ความผิดไปให้แก่ประชาชนชาวอินเดีย ด้วยการประกาศขึ้นภาษีต่างๆ และเริ่มระบบเก็บภาษีรายได้จากชาวอินเดีย ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 1860 ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดียที่ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่า กบถซีปอย ปี 1857 จะไม่ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มบริษัท อีสต์ อินเดีย แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงให้เห็นว่า ชาวอินเดียไม่พอใจต่อบริษัท อีสต์ อินเดีย ที่ทำงานในฐานะองค์กรที่ได้รับอำนาจสูงสุดจากราชวงศ์อังกฤษ
และถือเป็นก้าวสำคัญของการไปสู่การประกาศอิสรภาพของอินเดียในเวลาต่อมา
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี