อันที่จริงเรื่องนี้ผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งผมยังรู้สึกคาใจ
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 เมื่อ นายภูมิธรรม เวชชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น และ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ขึ้นเหนือไปเชียงรายเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ปรากฏว่า นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไม่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
ทำเอา นายอนุทิน ถึงกับมีอารมณ์โมโห ส่วนจะควันขึ้นตรงส่วนไหนของร่างกายหรือไม่ ข่าวไม่ได้บอก แน่นอนว่าควรและต้องโมโห เพราะตนเองเป็นถึงเจ้ากระทรวงและกำหนดการซึ่งเป็นการปฏิบัติราชการ ไม่ใช่การไปเดินเล่นส่วนตัว ได้มีการบอกล่วงหน้าแล้ว
ต่อมา ดูเหมือนผู้ว่าราชการชียงรายได้ให้เหตุผลว่า เดินทางเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพมหานครและระยะเวลากระชั้นชิดไม่สามารถกลับไปรับรักษาการนายกฯและรัฐมนตรีมหาดไท
ยได้ทัน
ช่วงแรกๆที่มีข่าว ก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์ทางสื่อหลักและสื่อโซเชี่ยลกันมากว่า ต้องให้ผู้ว่าฯมาคอยต้อนรับรัฐมนตรีด้วยหรือ? แสดงอำนาจบาทใหญ่เกินไปหรือเปล่า?
แต่พอมาดูข้อเท็จจริงภายหลัง เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 นายอนุทิน ได้ส่งหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย มีการให้รายละเอียด 5 ข้อ สรุปรวมว่ามีเที่ยวบินที่จะทำให้ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กลับไปร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ทันในวันที่รักษาการนายกฯและรัฐมนตรีมหาดไทยลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีรายละเอียดเที่ยวบินเวลาเท่าไหร่ มีกี่เที่ยวละเอียดยิบ
ส่วนที่ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อ้างว่ามีการแจ้งด้วยวาจาต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว ถึงเหตุผลที่ไม่เดินทางกลับพื้นที่ และมอบหมายให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย บรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และร่วมคณะตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยแทนก็ไม่มีหลักฐานใดๆประกอบนั้น และอันที่จริง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายสามารถรายงานโดยตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ ทั้งทางโทรศัพท์และทางไลน์แอ็พพลิเคชั่น
แถมปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ยังเร่งสรุปความเห็นว่า ให้ควรยุติเรื่องดังกล่าวโดยยังไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่จะเชื่อได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ด้วยความมุ่งมั่น อุตสาหะเอาใจใส่ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนตามควรแก่กรณี
คนที่รับรู้ข่าวนี้จำนวนไม่น้อยก็จะเอนเอียงไปทางผู้ว่าราชการจะเพราะหมั่นไส้นักการเมืองหรืออะไรก็ตาม แต่ผมเห็นว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่ว่าผู้ว่าราชการเชียงรายจะเป็นสิงห์ดำ สิงห์แดง สิงห์ทอง หรือสิงห์ตะกั่ว ธุระอะไรก็ไม่ควรสำคัญไปกว่าความเดือดร้อนของประชาชน
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เสด็จเยือนต่างประเทศหลายสิบปีในช่วงหลังของรัชสมัยของพระองค์ เพราะเห็นว่าประชาชนยังมีทุกข์และปัญหาให้ทรงคิดแก้ไขอีกมาก ทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน ปัญหาสังคม และภัยพิบัติต่างๆที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอ ตัวอย่างที่พระเจ้าแผ่นดินได้ทำไว้ไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของข้าราชการเลยหรือ
ผมเองก็แทบไม่ชอบนักการเมืองคนไหน แต่กรณีนี้มันคนละเรื่อง
คำขวัญของกระทรวงมหาดไทยคือ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”ไม่ควรเป็นคำที่เขียนไว้หรูๆ หรือท่องกันปาวๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัตินักการปกครองที่มีอำนาจสูงสุดในจังหวัดไม่ควรออกไปไหนทั้งสิ้น ถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือบุพการีถึงแก่กรรม
ชาวบ้านรอคอยการช่วยเหลืออยู่ ถ้าไม่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนได้ก็น่าจะตัดสินใจไปยึดอาชีพอื่น จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของใคร
สมมุติว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งอ้างเหตุผลว่ามีธุระจนไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ปกครองของตนเองในช่วงวิกฤติ อาจจะเป็นไปได้ว่าไม่ยอมรับนักการเมืองที่มาเป็นรัฐมนตรีควบคุมดูแลกระทรวงที่ตนสังกัดอยู่ หรือคิดว่าอีกไม่นานนักการเมืองก็จะผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันมา หรือเพราะตนเองจะเกษียณอยู่รอมร่อ ไม่ต้องให้ความเคารพนับถือใครก็ได้ หรือถึงที่สุดอาจจะแค่อยากกวนอวัยวะใส่รองเท้าเล่นๆ
แต่ทั้งหมดก็ไม่มีอะไรสมเหตุสมผล เพราะความชอบหรือชังส่วนตัว มันเกี่ยวกับความทุกข์ยากของผู้คน
ผมแปลกใจที่ นายอนุทิน แค่ทำหนังสือจี้ไปยังปลัดกระทรวง อาจจะเพราะเป็นนักการเมือง หรือเป็นนักธุรกิจที่ต้องพึ่งพาสัมพันธ์กับข้าราชการ จึงไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น จริงๆแล้วเมื่อเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา อันดับแรกที่ต้องทำคือ สั่งโยกย้ายเข้าประจำไม่ว่าข้าราชการคนนั้นจะใกล้เกษียณหรือไม่ก็ตาม ส่วนจะสอบสวนอะไรกันต่อนั่นก็อีกเรื่อง ไม่ใช่แค่ออกข่าวเท่ๆเท่านั้น
และเพื่อไม่เกิดเรื่องราวแบบนี้ซ้ำๆ ควรจะมีการประกาศเป็นกฎกระทรวงเสียเลยว่า ห้ามผู้ว่าราชการ, ปลัดจังหวัด,นายอำเภอ จนถึงปลัดอำเภอ เดินทางออกนอกพื้นที่ระหว่างที่มีภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเป็นเวลากี่วันกี่สัปดาห์ก็ว่าไป ใครไม่ปฏิบัติตามให้ถือว่าผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ไม่อย่างนั้นก็คงเหมือนที่พูดกันมาแต่โบราณว่า ข้าราชการก็ยังคงเป็นเจ้าคนนายคน ไม่ใช่ผู้รับใช้ประชาชนทั้งๆที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน.
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี