ก่อนที่อังกฤษจะตัดสินใจคืนอิสรภาพให้แก่อินเดียนั้น อังกฤษคงจะตระหนักรู้ดีอยู่แล้วว่า ไม่สามารถรั้งอินเดียเอาไว้ให้อยู่ในความครอบครองของตัวเองได้อีกต่อไป
ลำพังปัญหาที่อังกฤษเผชิญอยู่บนเกาะอังกฤษก็หนักหนาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง อันเป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าอังกฤษจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะก็ตาม
เงินในท้องพระคลังของอังกฤษแทบจะไม่เหลือ เพราะใช้ในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงไม่ต้องพูดถึงงบประมาณที่จะจัดการดูแลอินเดียให้เรียบร้อยได้
แม้กระทั่งอาหารการกินก็ยังต้องใช้ระบบปั่นส่วน
นอกจากนี้ อินเดียในปี 1947 ไม่เหมือนอินเดียเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วตอนที่ราชสำนักอังกฤษเข้ายึดครองอย่างเต็มตัว เพราะในช่วงก่อนหน้าปี 1947 คนอินเดียได้ออกมาเรียกร้องอิสรภาพอย่างแหลมคม สร้างประเด็นสู่นานาชาติได้มาก และ หนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวกับการเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของคานธี และ ของผู้นำอย่าง เนตาจี สุภาษ จันทรโพส
ที่สำคัญก็คือ เกิดการขยายตัวของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในภูมิภาคเอเชีย โดยมีญี่ปุ่นเป็นคู่สงครามที่น่าเกรงขาม และ กำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั้งภูมิภาค หากอังกฤษยังดึงดันที่จะยึดอำนาจในอินเดียต่อไป ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องปะทะกับญี่ปุ่นแบบซึ่งหน้า(ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะสงบ) ไหนยังจะต้องเผชิญหน้ากับลัทธิคอมมิวนิสต์ จากทั้งจีน และ รัสเซียที่โลกตะวันตกกลัวนักกลัวหนาราวกับเห็นผีหลอกตอนกลางวัน
(เนตาจี สุภาพ จันทระโพส – ภาพจากวิกิพีเดีย)
เหนือสิ่งอื่นใด ขบวนการกู้ชาติอินเดียสายเหยี่ยวที่นำโดย เนตาจี สุภาษ จันทรโภษ มีแนวคิดที่แตกต่างจากคานธี ตรงที่เขามองว่า การจะได้มาซึ่งอิสรภาพจะต้องโดยการต่อสู้ และ กำลังมองหาพันธมิตรที่จะมาช่วยในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย
ชาติพันธมิตรที่ว่าก็คือ เยอรมัน และ ญี่ปุ่น
ในโอกาสต่อๆไป ผมจะนำเรื่องราวของ เนตาจี สุภาษ จันทราโภษ มาเล่าให้ฟังครับ
ในที่สุด อังกฤษ ต้องทิ้งไพ่ใบสุดท้าย คือการถอนตัวออกจากอินเดีย และ พม่า
(พระเจ้าจอร์จ ที่ 6 - ภาพจากวิกิพีเดีย)
ประกอบกับผลการเจรจา 4 ฝ่ายของเมาท์ แบตเทน ในอินเดีย ยืนยันแล้วว่า ไม่มีทางที่จะห้ามไม่ให้ปากีสถานแยกประเทศแน่นอน (อันที่จริง รัฐบาลลอนดอนได้ตัดสินใจตั้งแต่แรก ก่อนที่ลอร์ด เมาท์ แบ็ตเทน จะเดินทางไปอินเดียแล้วว่า อินเดียไม่มีทางจะเป็นประเทศเดียวได้อีกต่อไป)
แต่รัฐบาลอังกฤษก็ทำไปแบบเสียมิได้
ในที่สุด วันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1947 รัฐสภาของสหราชอาณาจักร ก็ผ่านกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายให้อิสรภาพแก่อินเดียปี 1947” ลงพระนามโดยพระเจ้า จอร์จ ที่ 6 โดยกำหนดวันเวลาไว้เรียบร้อยว่า วันที่ 15 สิงหาคม ปี 1947 อินเดียจะต้องเป็นอิสระ
หมายความว่า เมาท์ แบตเทน มีเวลาในการดำเนินการเพื่อประกาศอิสรภาพเพียงแค่ 30 วันเท่านั้น
สาระสำคัญของ “กฎหมายให้อิสรภาพแก่อินเดียปี1947” ระบุให้การแบ่งประเทศอินเดียออกเป็น 2 ประเทศ คือ อินเดีย และ ปากีสถาน โดยให้ยึดการแบ่งประเทศโดยยึดถือจากพื้นที่ไหนที่มีประชาชนนับถือศาสนาไหนมากกว่ากัน
อินเดีย จะเป็นพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ในขณะที่พื้นที่ที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม จะเป็นประเทศปากีสถาน
(ประเทศปากีสถาน(สีเขียว) ที่แบ่งออกเป็นปากีสถานตะวันตก และ ปากีสถานตะวันออก - ภาพจากกูเกิ้ล)
ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ประเทศปากีสถาน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีประเทศอินเดียคั่นกลาง กลายเป็นปากีสถานตะวันตก มีเมืองหลวงอยู่ที่ การาจี และ ปากีสถานตะวันออก มีเมืองหลวงอยู่ที่เมือง ธากา (ปัจจุบันนี้คือ ประเทศบังคลาเทศ)
อังกฤษรู้ว่า นั่นจะนำมาซึ่งปัญหาที่ไม่มีวันจบในเวลาต่อมา แต่อังกฤษไม่สน
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรโปรดติดตามต่อในสัปดาห์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี