ถ้ามีโอกาส ผมมักจะเดินตลาดใกล้บ้านตอนเช้าๆ ซื้อหาของกิน พูดคุยกับแม่ค้าแม่ขายที่คุ้นหน้าบ้าง สังเกตความเป็นไปของผู้คนบ้าง ปรากฏว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ความคึกคักของตลาดหลังจากผ่านพ้นช่วงโควิดระบาดเป็นต้นมา เริ่มมีอาการเฉื่อยๆ ระยะหลังยิ่งดูเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้า
ถามพรรคพวกเพื่อนฝูงที่มีบ้านอยู่ต่างทิศต่างทาง ก็พบว่าบรรยากาศคล้ายๆ กันไม่นับย่านใจกลางเมืองที่การจับจ่ายใช้สอยมาจากนักท่องเที่ยว เพื่อนบางคนที่มีร้านค้าถึงขนาดเอ่ยปากว่า “ไม่รู้ว่าเงินที่แจกคนละหมื่นมันหายไปไหน?” หรือ “พายุหมุนทางเศรษฐกิจมันหมุนไปทางไหนบ้างวะ?”
นั่นคือความไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง และยิ่งมองย้อนหลังไปตั้งแต่รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ยิ่งเห็นความไม่สมเหตุสมผลตลอดมา
เริ่มตั้งแต่วันที่ เศรษฐา ทวีสิน รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ตรงกับวันเดียวกับที่ ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศพร้อมการต้อนรับราวกับเป็นซูเปอร์สตาร์ อาจจะมีคนจำนวนหนึ่งคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ แต่ส่วนผมไม่เชื่อ-แค่นั้นเอง
ความไม่สมเหตุสมผลเริ่มตั้งแต่วันนั้น ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเราพอจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ถ้าไม่อยากเรียกว่าเป็นนายทุนเจ้าของพรรค ยอมรับความผิดและได้รับพระราชทานลดโทษ แต่กลับไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
จากนั้นก็มีความพยายามจะแจกเงินดิจิทัลให้ได้ ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากธนาคารชาติและหลายองค์กร ตามด้วยความอื้อฉาวจากการประมูลข้าว 10 ปี และการส่งทนายที่มีคดีถุงขนมจนติดคุกไปแล้วในอดีตมาเป็นรัฐมนตรี จะเพื่อตอบแทนอะไรสักอย่างหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ แต่ผลก็คือทำให้ เศรษฐา ต้องหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี
เหล่านี้ก็ไม่มีอะไรสมเหตุสมผล
หลังจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนมาเป็น แพทองธาร ชินวัตร การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ส่วนจะเขียนโดยทีมที่ปรึกษา หรือทีมบิดาสั่ง ไม่ทราบได้
แต่ที่แน่ๆ ยังโจมตีรัฐบาลก่อนหน้านี้ว่า“ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองยาวนานอันเป็นผลจากการรัฐประหาร ระบบราชการไม่สามารถตอบสนองประชาชนได้อย่างเต็มที่” ซึ่งดูแล้วไม่สมเหตุสมผลที่จะใส่ลงไปในคำแถลง และไม่มีความจำเป็นอะไร นอกจากความคั่งแค้นส่วนตัว
นโยบายทั้งเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ฟังดูฉาบฉวยล่องลอย ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าถ้อยคำสวยหรูตามสูตรสำเร็จใช้ภาษาไทยปนอังกฤษให้ดูขลัง แต่สิ่งที่ตามมาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากการใช้เงินละลายไปกับสิ่งที่มีอยู่แล้วในนามซอฟต์พาวเวอร์และการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการดิจิทัล วอลเล็ตมูลค่านับแสนล้าน
นโยบายเร่งด่วนตามที่แถลงว่า จะต้องทำทันทีเพื่อนำความหวังของคนไทยกลับมาให้เร็วที่สุด อย่าง ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ, สนับสนุนผู้ประกอบการไทย SME, ลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค, การนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี, เพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตรและราคาพืชผลเกษตร ยกระดับรายได้เกษตรกร, แก้ปัญหายาเสพติด, เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม และส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคม มีตรงไหนเกิดมรรคผลบ้าง ยกเว้นส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งไปได้ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการผุดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาจากคนในรัฐบาล ล้วนแต่แปร่งแปลกไม่สมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกาะกูด, กฎหมายการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ตามกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ และให้ถือครองคอนโด 75% จนถึงการเก็บเงินรถเข้าโซนกรุงเทพฯชั้นใน เพื่อนำเงินไปอุดหนุนรถไฟฟ้า
สิ่งที่ควรจะทำคือเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่คุยนักคุยหนาว่ามียอดฝีมืออยู่ในรัฐบาล กลับดูเหมือนจะหมดปัญญาชาวบ้านร้านตลาดเริ่มร้องโอดโอยแทบจะทุกตรอกซอกซอย พ่อค้าแม่ค้าบางรายที่ผมได้คุยด้วย เริ่มถามหาโครงการ “คนละครึ่ง”กันแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในภาวะโรคระบาด
แต่ในบรรดาความไม่สมเหตุสมผลทั้งหลายที่น่าจับตามองพฤติการณ์ของรัฐบาลนี้ มีความสมเหตุสมผลอยู่อย่างเดียวคือ คนไทยจำนวนไม่น้อย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และคนอยู่เบื้องหลัง(ถ้ามี) เพราะคล้ายเรื่องราวที่นำความเสียหายแสนสาหัสให้ประเทศไทยในอดีต กำลังจะตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี