แม้กระแสเรื่อง “จ้องตา” ของหัวหน้าพรรคส้มจะเงียบไปแล้วแต่มันกลับเข้าไปอยู่ในความคิดของพวกด้อมส้มอย่างไม่น่าเชื่อ มันบอกได้ว่าไม่ว่าพรรคส้มจะพูดอะไร มันจะเป็น “หลักการ” ที่จะถูกนำไปพูดต่อ
เรื่องนี้ผมเจอด้วยตัวเอง เมื่อด้อมส้มคนหนึ่งนำมาพูดกับผม เขาพูดหลายเรื่อง เช่นเรื่องรัฐธรรมนูญก็ต้องแก้ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญของเผด็จการ (และมันล้มพรรคส้ม) ผมก็สวนไปว่า“ผมชอบ” แล้วเขาก็พูดถึงระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมที่เชียงราย ที่หัวหน้าพรรคส้มไม่ช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน เช่น ข้าวกล่อง น้ำดื่ม ว่าไม่อยากสร้างบุญคุณกับชาวบ้าน มันจะเป็นระบบอุปถัมภ์ จึงแค่จ้องตา!
ที่จริงก็ไม่ได้จ้องตาใครหรอก ก็แค่ไปโชว์ตัวให้คนที่ถูกน้ำท่วมได้จ้องมองมากกว่า ว่าพรรคส้มมาแล้ว หัวหน้าพรรคลงทุนมาเองเลยนะ แล้วก็ประดิษฐ์คำเท่ด้วยหวังว่ากินใจคนฟัง คนที่กำลังเดือดร้อนเพราะน้ำท่วมก็คงจะซาบซึ้ง
แต่พอโดนโจมตีก็ออกมาแก้ตัวผ่านสื่อ และออกทีวีช่อง 3 บอกว่าเหตุที่ไม่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนเพราะถูกน้ำท่วมนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ด้อมของเขาอมน้ำลายมาพูดกับผมนั่นแหละ
ไม่อยากให้เกิด “บุญคุญ” ซึ่งมันเป็น “ระบบอุปถัมภ์”
เขาคงคิดว่า...แค่นั้นก็ช่วยบรรเทาทุกข์ร้อนของผู้กำลังหิวกำลังเหนื่อย กำลังลำบาก สูญเสีย และกำลังหนีน้ำท่วมมากพอแล้ว
ผมรับฟังและไม่พูดอะไร เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นมาเป็นเหมือนเซลส์ขายของ กี่คนก็พูดเหมือนกันหมด เพราะเป็นเซลส์ที่สังกัดบริษัทเดียวกัน แต่ในใจก็อยากจะย้อนว่า “งั้นเริ่มที่ญาติมิตรของคุณก่อนเลย ยามเมื่อพวกเขาเดือดร้อน ไม่ว่าจะเดือดร้อนเรื่องอะไร มากมายแค่ไหน แม้ชักตาตั้งต่อหน้าก็จงอย่าช่วยเหลือ คุณพยายามจ้องตาของเขาก็พอแล้ว ถ้าคุณช่วยเหลือก็จะเป็นบุญคุณต่อเขา จะเป็นระบบอุปถัมภ์ทันที”
สังคมไทยนั้นเป็นระบบอุปถัมภ์มาเนิ่นนานแล้ว แต่เดิมมันเกิดขึ้นเองตาม “วิถีชีวิต” คือญาติ มิตร หรือใครเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตอบแทนกันไปมา คนที่มีกำลังมาก ทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้มาก และจะได้รับการนับถือ ได้รับการยกย่องในสังคมนั้น
เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาในสังคมไทยก็ยิ่งช่วยให้สังคมมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันแน่นแฟ้นมากขึ้น เพราะสอนให้คนทำบุญทำทาน สอนให้มีความเมตตากรุณาต่อกัน สอนความกตัญญูกตเวทิตา
สังคมไทยจึงมีคำต่างๆ มากมายที่มีความหมายเดียวกับคำว่าช่วยเหลือเกื้อกูล เช่น โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา ทำบุญทำทาน มีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน เสียสละ มีกระทั่งอุดมคติพระโพธิสัตว์ ฯลฯ
นอกจากระบบอุปถัมภ์จะเกิดขึ้นตามวิถีชีวิตแล้ว ก็ยังเกิดขึ้นด้วย “การจัดตั้ง” มีตั้งแต่แก๊งอันธพาล ผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น จนถึงนักการเมือง
ในสมัยคุณทักษิณมีอำนาจคับประเทศนั้น เขาพยายามจะทำลายระบบอุปถัมภ์ของนักการเมืองในท้องถิ่นที่เรียกว่าบ้านใหญ่ แล้วมายอมศิโรราบแก่ตน จึงกลายเป็นระบบอุปถัมภ์ระดับประเทศ โดยมีเขาเป็นหัวหน้าใหญ่สุดในการอุปถัมภ์
ปัจจุบันนี้พรรคส้มก็กำลังสร้างระบบอุปถัมภ์ระดับประเทศเช่นกัน นั่นคือการอุปถัมภ์ผ่านทางนโยบายและโครงการต่างๆ ของพรรค เช่น แจกคนชรา แจกเงินคนพิการ แจกผู้ประกอบการรายย่อย ฯลฯ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ “นโยบายรัฐสวัสดิการ”
ทั้งหมดนั้นเป็นนโยบายประชานิยม
เป็นนโยบายสร้างระบบอุปถัมภ์ด้วยเงินภาษี
ไม่ใช่เหมือนที่คนทั่วไปในสังคมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยนั้นเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ จะเรียกว่า“ซอฟต์พาวเวอร์” ก็ได้ จะเรียกว่าเป็น “ระบบนิเวศสังคม” ก็ได้ เพราะมันเป็นสายใยเชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกัน พร้อมกันนั้นมันก็สร้างสรรค์สังคมให้แข็งแรงมั่นคงด้วย
การเมืองนั้นเป็นพลังบั่นทอน...และถึงขั้นทำลายล้างคนและสังคมได้ ถ้าการเมืองนั้นโง่เขลา คลั่งอำนาจและทำลายวัฒนธรรม
ประเทศนี้ดำรงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบันนี้ไม่ใช่การเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของคนไม่กี่คน หากแต่เป็นวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องสำนึกของทุกคน
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี