การเมืองไทยในปัจจุบันกำลังเละเทะเลื่อนเปื้อน และดำเนินไปอย่างทุลักทุเลกฎ-กติกาทั้งหลายโดนบิดเบือน โดนเหยียบย่ำด้วยน้ำมือและฝ่าเท้าของนักการเมือง จนระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบเจ้าพ่อครองเมืองไปแล้ว
แต่เดิมประเทศไทยมีการปกครองแค่ “ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง” มองย้อนไปในสมัยเริ่มต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็พอคือปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือราชาธิปไตย มีกษัตริย์เป็นประมุข เป็นจอมทัพ เป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุด
ยังไม่มีการเมืองและนักการเมืองแทรกเข้ามาเป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน มีเพียงการเมืองก็ในความหมายที่เป็นกุศโลบาย อุบาย ที่ใช้แย่งชิงอำนาจกันในหมู่ผู้ปกครอง
มันไม่ได้ถูกสถาปนาไว้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองในยุคนั้น
กระทั่งถึงวันที่คณะราษฎรเข้าปล้นชิงอำนาจจากพระมหากษัตริย์เป็นของพวกตน เมื่อมิถุนายน 2475 จึงก่อเกิดการเมืองและนักการเมืองที่ได้รับการสถาปนาไว้เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจในการปกครองประเทศ
ที่จริงคณะราษฎรก็ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ให้สิ้นซากไปเลยเช่นเดียวกับการปฏิวัติในฝรั่งเศสดังจะเห็นได้ในช่วงแรกของการปฏิวัติ แต่เมื่อเห็นว่าไปไม่รอดจึงต้องยอมให้มีพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ต่อไป แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
เป็นการเปลี่ยนระบอบการปกครองใหม่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง ตามแบบประเทศในตะวันตกมีพระมหากษัตริย์ทำหน้าที่เป็นเพียงประมุขของประเทศเท่านั้น
อำนาจทั้งหมดตกมาอยู่กับคณะราษฎร ทั้งในฐานะเผด็จการและผู้ได้รับเลือกตั้ง
ประเทศไทยจึงเกิด “การเมืองและนักการเมือง” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ตลอดเวลาตั้งแต่พ.ศ. 2475 - 2500 การเมืองไทยตกอยู่ในวังวนแห่งระบอบที่“เลือกตั้งบ้าง ไม่เลือกตั้งบ้าง เลือกตั้งครึ่งไม่เลือกตั้งครึ่ง” มั่วอยู่กับการแย่งชิงอำนาจในฝ่ายเดียวกัน สุดท้ายคณะราษฎรก็สูญพันธุ์ ด้วยเหตุจากการทำลายตัวเอง ซึ่งใครจะเรียกว่า “กรรมและวิบาก” ก็ไม่ผิด
เมื่อการเมืองและนักการเมืองเข้ามาแทรกอยู่ในการปกครองของประเทศ ระหว่าง “พระมหากษัตริย์กับราษฎร” แล้ว ก็ยากที่จะหวนคืนกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีก เพราะสังคมไทยเติบโตขึ้นและโลกก็เปลี่ยนไป
แต่การเมืองไทยก็ยังวนอยู่กับการเลือกตั้งกับการยึดอำนาจเรื่อยมา ซึ่งส่วนมากก็เป็นการแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่พวกคนที่มีอำนาจ มีอาวุธ ยึดอำนาจแล้วก็อยู่ไม่ได้นาน ก็กลับมาสู่การเลือกตั้ง เลือกตั้งแล้วต่อมาก็ยึดอำนาจอีก ด้วยเหตุผลที่ควรบ้าง ไม่ควรบ้าง วนอยู่อย่างนี้มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อมองย้อนกลับไปในปีพ.ศ. 2475 ที่มีการเมืองและนักการเมืองเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากพระมหากษัตริย์ก็ล้มลุกคลุกคลานเรื่อยมา ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นพื้นที่ให้คนกระสันอำนาจแย่งชิงกันอยู่บนหัวคนไทยและเบื้องหน้าพระพักตร์ของพระมหากษัตริย์เรื่อยมา ส่วนคนไทยก็เลือกนักการเมืองเลวๆ และโง่มากขึ้นทุกวัน
งบประมาณจากการเลือกตั้ง จนถึงงบประมาณที่ใช้ในการบริหารแผ่นดินถูกนักการเมืองกอบโกยไปเป็นของตนและพวกตนอยู่เสมอ ด้วยการซื้อเสียงผ่านนโยบายประชานิยมเพื่อจะได้กลับไปมีอำนาจโกงชาติ-ขายชาติต่อไป
นโยบายที่จะพัฒนาชาติ-พัฒนาคนให้มีศักยภาพเท่าทันคนทั้งโลกนั้นลดน้อยลงทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ตรงกันข้ามกลับมีนโยบายแข่งกันแจกมากขึ้น จนเป็นนโยบายที่ค่อยๆ ทำให้คนไทยง่อยเปลี้ยเสียขาและอ่อนแอลง
เมื่อประชาชนอ่อนแอ ประเทศชาติก็อ่อนแอ จึงเห็นภาพประเทศไทยจะเป็นอย่างเวเนซุเอลากับอาร์เจนตินาอยู่ไม่ไกลนัก นั่นคือการล้มละลายของประเทศ
“การเมืองไทยและนักการเมืองไทยตามที่เป็นจริง” ไม่ใช่ตามทฤษฎีหรือหลักการ จึงเป็นเสมือนไส้ติ่งที่อักเสบอยู่เสมอมา ถ้าหามาตรการรักษาไม่ได้ ก็ตัดทิ้งมันไปเถอะ!”
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี