หลายฝ่ายแสดงความกังวลต่อการลากเส้นแบ่งประเทศอินเดียของแรดคลิฟ และมองว่า ความหายนะจากความแตกแยก และ ขัดแย้งของประชาชนสองศาสนาจะรุนแรง และโหดร้ายมากขึ้น
(แผนที่อินเดีย และ บังคลาเทศ จะเห็นว่าเมืองจิตตะกองเป็นติ่งติดอยู่ตรงพรมแดนอินเดีย และ บังคลาเทศ-ภาพจาก กูเกิ้ล แมพ)
ซาร์ดาร์ พาเทล หนึ่งในนักสู้กู้ชาติอินเดียย้ำกับเนห์รูว่า ดินแดนที่แบ่งไปเป็นปากีสถานตะวันออก จะต้องไม่รวมเมืองจิตตะกองเข้าไปด้วย เพราะเมืองจิตตะกองมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู และ ชาวพุทธ หากปล่อยไป จะเกิดอันตรายต่อชาวฮินดูและพุทธที่อาศัยอยู่ที่นี่
แต่เนห์รู ไม่ฟัง
อีกมุมหนึ่ง วันที่ 15 สิงหาคม 1947 ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นวันประกาศอิสรภาพของอินเดียก็ดูเหมือนว่า จะมีผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งออกมาทักท้วง รวมถึงนักโหราศาสตร์อินเดียจำนวนมากได้ออกมาคัดค้านว่า
วันที่ 15 สิงหาคม 1947 ถือเป็นวันอัปมงคล หรือ วันอุบาทว์ ไม่ควรทำการที่เป็นมงคล และเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนวันประกาศอิสรภาพเสียใหม่ ไม่เช่นนั้น อินเดียจะเผชิญกับความเลวร้ายไม่สิ้นสุด
แต่ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วโดยคำสั่งของรัฐบาลลอนดอน
(พื้นที่สีเขียว คือส่วนที่แยกออกไปจากอินเดียเป็นประเทศปากีสถาน)
ก่อนวันที่ 15 สิงหาคม 1947 เกิดการอพยพครั้งยิ่งใหญ่ของประชากรที่ไม่ต้องการอาศัยอยู่ในแผ่นดินเดียวกันกับรัฐบาลของอีกศาสนาหนึ่ง มีทั้งเดินทางเข้า และออกจากอินเดีย โดยเฉพาะตามชายแดนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ในแคว้นปัญจาบ และ ภาคตะวันออกในรัฐเบงกอล
ประมาณว่า ในขณะนั้นน่าจะมีชาวฮินดูอาศัยอยู่ในปากีสถานจำนวน 10 ล้านคน ขณะเดียวกันก็มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ในแผ่นดินอินเดียจำนวน 5 ล้านคน
ทันที่ที่เริ่มมีการอพยพตามแนวพรมแดน การสังหารโหดด้วยความเกลียดชัง และโกรธแค้นบนพื้นฐานเรื่องศาสนาก็เกิดขึ้น
โดยเฉพาะบริเวณรัฐแคชเมียร
เส้นทางหลักในการเดินทางข้ามไปมาตรงจุดพรมแดนรัฐแคชเมียรมีรถไฟเป็นพาหนะสำคัญ นอกเหนือจากทางรถยนต์ เพราะสะดวกกว่า และเดินทางได้ทีละจำนวนมากๆ
(รถไฟสายมรณะขบวนหนึ่ง จากกรุงเดลี มุ่งหน้าไปยังเมืองลาฮอร์ ซึ่งเป็นของประเทศปากีสถาน)
รถไฟบนเส้นทางนี้จึงกลายเป็นรถไฟสายมรณะ ที่ผู้อพยพชาวฮินดูที่อพยพจากดินแดนที่จะกลายเป็นของปากีสถานในอนาคตเข้ามาทางฝั่งอินเดีย แต่ถูกชาวมุสลิมดักสังหารระหว่างทาง และในทางกลับกัน ผู้อพยพชาวมุสลิมที่ต้องการเดินทางออกจากอินเดียไปยังดินแดนของปากีสถานก็ถูกสังหารระหว่างทาง เป็นการแก้แค้นด้วยเช่นกัน
ประมาณว่า มีผู้ถูกสังหารระหว่างเดินทางประมาณ 1 ล้านคน
คานธี ถึงกับต้องเอ่ยปากขอร้องให้ ลอร์ด เมาท์ แบตเทน รับหน้าที่ GOVERNOR-GENERAL เพื่อดูแลประเทศอินเดียต่อไปอีกสักระยะหนึ่งซึ่งแน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้
ปัญหาปลีกย่อยของการแยกประเทศ และ แบ่งสินทรัพย์มรดกต่างๆยังมีอีกมากมาย เช่น กำลังทหารและตำรวจ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆจะแบ่งกันอย่างไร แม้กระทั่ง อุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆก็เป็นปัญหา เช่น โต๊ะเก้าอี้ พิมพ์ดีด และอื่นๆ แต่ผมจะไม่นำมาพูดในที่นี้ เพราะมันมีรายละเอียดมาก
การแบ่งสมบัติครั้งนี้อินเดียได้ส่วนแบ่งมากกว่า เพราะทั้งจำนวนประชากรที่มากกว่า พื้นที่ของประเทศใหญ่กว่า และ การเข้าถึงทรัพย์สินที่จะแบ่งได้เร็วกว่า
ในที่สุด ก็มาถึงวันที่ 14 สิงหาคม 1947 ประชาชนทั้งประเทศต่างก็เฝ้ารอคอยช่วงเวลาแห่งอิสรภาพที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น มีชาวอินเดียจำนวนไม่น้อยคิดว่า
“อิสรภาพจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น เป็นยาวิเศษที่จะรักษาโรคทุกอย่างของพวกเขา แม้กระทั่งความยากจน”
พวกเขาไม่รู้ว่า ปัญหา ความรุนแรง และ การเสียเลือดเนื้อและชีวิต กำลังรอเขาอยู่บนถนนที่จะต้องเดินไปข้างหน้า เป็นสิ่งที่ชาวอินเดียจะต้องยอมแลกมาเพื่ออิสรภาพ
ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากการขีดเส้นแบ่งประเทศของแรดคลิฟ
(ซีริล แรดคลิฟ ประธานกรรมการขีดเส้นแบ่งพรมแดนอินเดียและปากีสถาน-ภาพจากวิกิพีเดีย)
เรื่องที่น่าฉงน และ เป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ แรดคลิฟได้เผาทำลายเอกสารการประชุมของคณะกรรมการขีดเส้นแบ่งพรมแดนที่เขาทำในช่วง 1 เดือนไปจนหมดสิ้น แล้วก็รีบเดินทางกลับประเทศตัวเปล่า และไม่เคยกลับมาที่อินเดียอีกเลย
ทำไม เขาจึงทำเช่นนั้น
เป็นความลับดำมืดที่ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการทำงานของเขา
แรดคลิฟฟ์ ได้แสดงความในใจของตัวเองในภายหลังว่า
“ผมไม่มีทางเลือกอื่น ช่วงเวลาที่มอบให้ผมมันแสนสั้น ทำให้ผมไม่อาจทำงานให้ดีกว่านี้ได้ หากให้ผมมาทำงานนี้อีกครั้งในช่วงเวลาเดิม ก็จะได้งานออกมาแบบเดิม อย่างไรก็ตาม หากผมมีเวลาสัก 2-3 ปี ผมก็อาจจะทำงานดังกล่าวได้ดีขึ้น”
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี