หลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทำลายล้างอำนาจเก่าของอดีตประธานาธิบดี โจไบเดน ทันที ด้วยการเซ็นยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารภายใต้ โจ ไบเดน มากเกือบ 80 ฉบับ
จากนั้นก็ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารของตนอีกหลายฉบับ เช่น...
ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันเกือบ 200 ประเทศ ให้อยู่ภายใต้กรอบเดียวกันเพื่อแก้ไขป้ญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ, การประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนทางตอนใต้ของอเมริกา, การถอนตัวของสหรัฐจากองค์การอนามัยโลก เพราะ ทรัมป์ มองว่า อเมริกาต้องจ่ายเงินมากเกินไปในการสนับสนุนองค์การอนามัยโลก ฯลฯ
รวมถึงคำสั่งที่เกี่ยวกับการปกครองภายในประเทศ อย่างเช่น คำสั่งเกี่ยวกับคำนิยาม “พลเมืองโดยกำเนิด”พุ่งเป้าไปที่การให้สัญชาติโดยอัตโนมัติแก่ลูกๆ ของผู้อพยพที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายที่เกิดในอเมริกา, การระงับโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยของสหรัฐ เป็นเวลา 4 เดือน, ให้พนักงานของรัฐบาลกลางให้กลับมาทำงานเต็มเวลา ไม่อนุญาตให้ทำงานจากบ้าน, การรับรองเพศสภาพให้มีเพียงสองเพศเท่านั้น คือ เพศชาย และเพศหญิง, ห้ามหน่วยงานของรัฐบาลกลางรับ LGBTQ เข้าทำงาน, คำสั่งไปยังหน่วยงานทุกแผนกและหน่วยงานรัฐบาลกลางให้จัดการเรื่องค่าครองชีพ, ปรับลดจำนวนเจ้าหน้าที่และพนักงานของรัฐบาล, ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูเสรีภาพในการพูด, อภัยโทษให้ผู้ก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภากว่า 1,500 คน
ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้วเกือบทั้งหมดก็เป็นการออกคำสั่งเอาใจผู้ที่ลงคะแนนเลือกตั้งเขาเข้ามา เหมือนจะบอกว่า “ทำให้ตามสัญญาแล้วนะ”
แต่ที่น่าจับตาคือนโยบายนำอเมริกากลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม โดยมุ่งไปยังเรื่องเศรษฐกิจ นอกจาก ทรัมป์ จะประกาศตั้งกำแพงภาษีนำเข้า โดยจะเก็บ 25 เปอร์เซ็นต์สำหรับแคนาดาและเม็กซิโก, 10% สำหรับการนำเข้าทั่วโลก และ 60% สำหรับสินค้าจากจีน เขายังขู่ประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่รวมตัวกันเป็นขั้วอำนาจใหม่ของเศรษฐกิจโลก
แม้ตอนนี้แคนาดาจะตอบโต้แบบ “กูไม่กลัวมึง” โดยการประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกา 25 เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ให้ถอดสินค้าอเมริกันออกจากสโตร์ต่างๆ ในสองรัฐใหญ่ และมองหาแหล่งสินค้าจำเป็นอื่นๆ แต่ก็ไม่รู้จะต้านทานแรงบีบคั้นได้สักแค่ไหน เพราะโคลอมเบียก็เพิ่งยอมไปหมาดๆ
คนมากมายในโลกที่รับข่าวสารจากสื่ออเมริกัน (ซึ่งส่วนมากเป็นสายเดโมแครต) มักจะมองว่า ทรัมป์ เป็นคนบ้าอำนาจ ก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้างล่ะ แต่ถ้ามองย้อนไปสมัยแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ การประกาศกร้าวหลายอย่างของ ทรัมป์ เหมือนโยนหินถามทางมากกว่า
อย่าลืมว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มาจากพื้นฐานของการเป็นนักธุรกิจ แม้ว่าจะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเหม็นหน้าจีน ในฐานะที่จีนกำลังเติบใหญ่ขึ้นมาทาบรัศมีอเมริกาแบบยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ แต่ทุกอย่างมีการต่อรองกันได้ เช่น ทรัมป์ เซ็นชะลอการคำสั่งห้ามการให้บริการของ ติ๊กต็อก (Tik-Tok) ในอเมริกา ตามคำวินิจฉัยของศาลสูงสุด โดยขยายระยะเวลาไปอีก 75 วัน
ทรัมป์ คงมองว่า ติ๊กต็อก แอปพลิเคชั่นสัญชาติจีนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก มีมูลค่ามหาศาลนับล้านล้านเหรียญ แทนที่จะห้ามเสียเลย เข้าไปขอเอี่ยวน่าจะดีกว่า และเห็นว่าอเมริกาควรเข้าไปถือหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์ของ ติ๊กต็อก ในอเมริกา ทรัมป์ จึงบอกว่า “ขึ้นอยู่กับการเจรจา”
จะสังเกตได้ว่า ทรัมป์ พยายามจะทำทุกอย่างที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของอเมริกาเป็นหลัก เขาแตะถึงรัสเซียน้อยมาก และดูเหมือนพยายามจะให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนยุติลงอย่างรวดเร็วด้วยการเจรจา นั่นเพราะอเมริกาเสียเงินทองและผลประโยชน์ไปมหาศาลกับสงครามครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนแรกที่ไปเยือนเกาหลีเหนือ ประเทศที่อเมริกาเคยส่งสรรพกำลังไปช่วยเกาหลีใต้รบ
ทรัมป์ ไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนรักสันติภาพสุดชีวิตจิตวิญญาณ ความน่ากลัวของเขาไม่ได้อยู่ที่การเอาอเมริกาเข้าไปแทรกแซงทุกสมรภูมิสู้รบในโลก แต่เขากำลังนำอเมริกาเข้าสู่สงครามเศรษฐกิจเพื่อคงอำนาจของดอลลาร์ และความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
แม้ปัจจุบัน สถานะของอเมริกาอาจจะแผ่วไปบ้าง แต่การเป็นมหาอำนาจทุกด้านมายาวนานนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าอเมริกาขยับตัวเอาจริงกับประเทศคู่ค้าทั้งหมด รวมถึงไทย โลกต้องเจอผลกระทบแน่
ไม่รู้ว่า รัฐบาลใต้ตีนอดีตนักโทษของประเทศแถวๆนี้ รู้ตัวกันมั่งหรือยัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี