สาหร่ายพวงองุ่น
พวงอัญมณีจากทะเล
“สาหร่ายพวงองุ่น”เป็นพืชน้ำเค็มอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เนื่องด้วยมีคุณค่าทางอาหารสูงมีส่วนประกอบของเกลือแร่และวิตามินหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี1 บี2 วิตามินอี และมีเบต้าแคโรทีน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไอโอดีน ฟอสฟอรัส สังกะสี แคลเซียม และกรดอะมิโนจำเป็นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ใกล้เคียงกับไข่และโปรตีนถั่วเหลือง จัดเป็น 1 ใน 5 อาหารแนะนำสำหรับคนรักสุขภาพ แต่ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกไม่มาก ทั้งนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรีได้มีการจัดอบรมและส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูก “สาหร่ายพวงองุ่น”เชิงพาณิชย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 มิลลิเมตรเบียดแน่นรอบแขนงทำให้มีลักษณะคล้ายช่อองุ่น มีเม็ดสีเขียวใสมรกตลักษณะลูกกลมคล้ายองุ่นลูกจิ๋วอยู่ชิดกันเป็นพวง จึงเรียกว่าสาหร่ายพวงองุ่น ชื่อภาษาอังกฤษก็คล้ายๆ กันว่าSea Grapes ส่วนในญี่ปุ่นเขาเรียกสาหร่ายพวงองุ่นว่า Umi-budouที่แปลว่าองุ่นแห่งท้องทะเล
สาหร่ายพวงองุ่นนี้เป็นสาหร่ายที่แพร่กระจายในเขตร้อนแถบมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ประเทศหลักๆ ที่พบสาหร่ายชนิดนี้ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ญี่ปุ่น ไทย และปาปัวนิวกินี นอกจากนี้ยังพบการแพร่กระจายตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้โมซัมบิก มาดากัสการ์ แทนซาเนีย เคนยา มอริเชียสและโซมาเลีย สำหรับประเทศไทยนั้นพบมากตามชายฝั่งทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ซึ่งในปัจจุบันมีการแพร่ขยายไปทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทยตอนบน
ตั้งแต่ปี 2536 กรมประมงได้ริเริ่มเลี้ยงสาหร่ายนี้โดยสถานีวิจัยประมงชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้น รับพันธุ์และเรียนรู้จากอาจารย์กาญจนา ลิ่วมโนมนต์ คณะประมงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำทางชีวภาพ สำหรับการใช้เลี้ยงสัตว์น้ำอื่น ต่อมาเมื่อปี2557 ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรีได้รับมอบหมายให้พัฒนาเทคนิคการเลี้ยงเพื่อการขยายผลเชิงพาณิชย์ ศูนย์จึงนำองค์ความรู้ที่สะสมมามากกว่า 10 ปีพัฒนารูปแบบการผลิตสาหร่ายพวงองุ่นแบบครบวงจรจนในปัจจุบันสามารถเลี้ยงให้มีปริมาณมากและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้สม่ำเสมอ คุณภาพดีสะอาด ขยายผลเชิงพาณิชย์เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เหล่าเกษตรกรและผู้ประกอบการนำไปเพาะเลี้ยงได้สร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อไป
ส้มตำสาหร่าย
ตัวสาหร่ายพวงองุ่นนี้มีคุณประโยชน์นานัปการ ชาวบ้านที่อาศัยบริเวณชายฝั่งทะเลรู้จักเก็บมาบริโภคช้านาน ภาษาถิ่นภาคใต้ฝั่งอันดามันเรียก “สาย”โดยนำมาบริโภคสดจิ้มกับน้ำพริกกะปิ หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือจะนำมายำกับหมึกหรือกุ้ง ตำส้มตำก็เข้ากันได้ดี ทุกคนที่ได้กินต่างติดใจในรสชาติและเนื้อสัมผัสเมื่อเคี้ยวโดนเม็ดสาหร่ายที่กรุบกรอบ ในต่างประเทศ สาหร่ายนี้ก็เป็นอาหารที่นิยมบริโภคมาเป็นเวลานาน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกหลากหลาย ทั้งใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง ปุ๋ย ยารักษาโรค อาหารสัตว์ เป็นต้น ในปัจจุบันได้รับความนิยมบริโภคสาหร่ายนี้มากขึ้น เนื่องจากมีคุณประโยชน์มากมาย จัดเป็นอาหารสุขภาพ ในประเทศไทยนั้นรู้จักใช้เป็นอาหารแถบในจังหวัดทางภาคใต้และในภาคตะวันออก โดยใช้กินแทนผัก
ประโยชน์ของสาหร่ายพวงองุ่น
1. เป็นแหล่งรวมของวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอและวิตามินซี เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพ และในเวลาที่ร่างกายเจ็บป่วยไม่สบาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง
2. ช่วยป้องกันและรักษาโรคคอพอก เพราะมีไอโอดีนที่เป็นแร่ธาตุสำคัญและยังป้องกันและบรรเทาอาการเกี่ยวกับโรคไทรอยด์
3. เหมาะกับคนที่เป็นโรคหัวใจ เพราะมีปริมาณของแมกนีเซียมสูง ซึ่งจะช่วยลดระดับความดันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว รวมทั้งยังเป็นผลดีต่อโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง
4. มีเส้นใยอาหารสูง แต่แคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมหรือลดน้ำหนักแม้จะเป็นสาหร่ายจากทะเล แต่ก็มีปริมาณของโซเดียมต่ำ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
5. ช่วยกระตุ้นให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ ลดโอกาสจะเกิดอาการท้องผูก และลดความเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร
6. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย นำพาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและบำรุงผิวพรรณ ลดการเกิดริ้วรอย
7. ช่วยบำรุงกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อและประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบำรุงสมองและระบบประสาทด้วย
8. ช่วยรักษาสมดุลของน้ำภายในร่างกาย และสามารถช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี
9. รักษาความชุ่มชื้นของเซลล์ผิว คืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว จึงมีการนำไปใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว เพื่อช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง เต่งตึง ทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรงไม่หย่อนคล้อยได้ง่าย
สาหร่ายพวงองุ่นสามารถปรุงกินได้หลากหลายแบบ ให้ลองกินสดก่อน โดยล้างด้วยน้ำเปล่าหลายน้ำให้หมดทราย แล้วนำไปสะดุ้งด้วยน้ำเย็นเพื่อความสดกรอบ จากนั้นเลือกกินกับน้ำจิ้มที่ชอบ จะเป็นน้ำจิ้มพอนสึตามแบบฉบับของญี่ปุ่น รสชาติหวานๆ เค็มๆ หรือจะแซ่บยิ่งขึ้นกับน้ำจิ้มซีฟู้ด เปรี้ยว เค็ม เผ็ด นอกจากนี้ยังสามารถนำไปดัดแปลงเป็นเมนูต่างๆ จะยำ ส้มตำ ซูชิ แครกเกอร์ ใส่สลัด ยัดไส้ ต่างๆนานา จนติดอกติดใจไปตามกัน
อ้างอิง
7/11 /กินแกล้มเล่า เดือนพฤศจิกายน 2564
4https://bit.ly/2AM6GuU ,
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี