แม้พรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลาย เพราะ “คนป่าคืนเมือง” แต่ความคิดและความเชื่อมั่นต่ออุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ได้สลายตามไปด้วย คนส่วนมากในพรรคยังคงต้องการ“ยึดอำนาจรัฐ” และเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็น “รัฐสังคมนิยม” เช่นเดิม แต่ใช้อาวุธไม่ได้แล้ว จึงจำเป็นต้องแปลงร่างเปลี่ยนรูป
เป้าหมายไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแค่วิธีการ
ยุทธศาสตร์ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแค่กลยุทธ์
กลยุทธ์ที่ 1 เมื่อออกจากป่าเข้ามามีชีวิตตามปกติ หนุ่มสาวส่วนมากเรียนต่อ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนพวกที่เรียนจบแล้ว รวมทั้งที่ยังเรียนไม่จบบางส่วนก็เป็น NGO พวกเขาทำกิจกรรมหลากหลายกับชาวบ้าน ทั้งช่วยแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาด้านการประมง แทบว่าจะครอบคลุมทุกปัญหาพื้นฐานในประเทศไทย เป็นการยึดมวลชนเป็นของตน
กลยุทธ์ที่ 2 บางพวกเข้าเป็นนักการเมืองเพราะเชื่อว่าเมื่อเป็นสส.หรือรัฐมนตรี ก็ได้ยึดอำนาจรัฐบ้างแล้ว และจะมีอำนาจมากพอที่จะแก้ปัญหาพื้นฐานต่างๆ และค่อยเปลี่ยนแปลงกฎหมาย เพื่อเปลี่ยนไปเป็นประเทศสังคมนิยมได้
ดังจะเห็นได้จากพวกคอมมิวนิสต์ทั้งที่ออกจากป่าและอยู่ในเมืองตามปกติเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเสมอมา ส่วนพวกที่ไม่ได้เข้าป่าก็ตั้งพรรคเอง ตั้งแต่พรรคแนวร่วมสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคพลังใหม่ เป็นต้น แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก สุดท้ายพวกเขาก็เข้าไปอยู่ในพรรคใหญ่ อย่างพรรคความหวังใหม่ ตามมาด้วยพรรคไทยรักไทย ต่อมาพรรคความหวังใหม่ก็ถูกผนวกเข้าเป็นพรรคไทยรักไทย
เมื่อเข้ามาอยู่ในพรรคใหญ่ก็มีส่วนร่วมกำหนดนโยบายและโครงการต่างๆ ของพรรค แปลงนโยบายของสังคมนิยมไปเป็น “ประชานิยม” เหตุผลก็เพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุดและได้เป็นรัฐบาล จากนั้นค่อยใช้นโยบายสังคมนิยมเข้าไปเสริม จนกลืนกลายเป็นสังคมนิยมที่ถือกำเนิดในสภา ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเหมือนการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองให้เป็น “สาธารณรัฐ”
ในยุคเสื้อแดงเรืองอำนาจนั้น ถึงขั้นประกาศว่าจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐ มีการจัดตั้งคอมมูนที่หลักสี่ กรุงเทพฯ แต่สุดท้ายก็โดนปราบปรามสลายไป
นักการเมืองจากป่าในพรรคไทยรักไทยที่เปลี่ยนชื่อมาจนเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ก็เปลี่ยนอุดมการณ์ของตนหรือไม่ก็ซุกซ่อนมันไว้มิดชิดจนจมมิดหายไปเลย แล้วสำแดงบทบาทจากผู้รับใช้ “มวลชน” เปลี่ยนมาเป็น “ผู้พิทักษ์ประชาชน” เพียง 2 คน คือทักษิณกับลูกสาว!
เมื่อ “พรรคอนาคตใหม่” ถือกำเนิด ต่อมาเปลี่ยนเป็น “พรรคก้าวไกล” และ “พรรคประชาชน” ก็สำแดงเจตนาชัดแจ้งว่าไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะต้องการสาธารณรัฐ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เดียวกับพรรคเพื่อไทย
แต่กลยุทธ์ย่อยแตกต่างไป พรรคประชาชนใช้วิธียกเลิกมาตรา 112 และเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ด้วยการแก้มาตรา 112 กับจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ และก็เผื่อทางหนีทีไล่ไว้เช่นกันด้วยการแก้เพียงบางมาตรา แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินแล้วว่า “เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์”
นอกจากใช้กลยุทธ์ย่อยทางกฎหมายแล้วก็ยังใช้กลยุทธ์ “โลกล้อมประเทศ” คือมีประเทศมหาอำนาจดันหลัง ตามด้วยใช้นโยบายประชานิยมตั้งแต่แจกผ่านโครงการต่างๆ กระทั่ง “รัฐสวัสดิการ” รวมทั้งการปลุกปั่นให้แบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายและเกลียดชังพระมหากษัตริย์ ทั้งมีการโจมตีทหารและพยายามลิดรอนงบประมาณ ทั้งหมดเพื่อให้ประเทศอ่อนแอ
กลยุทธ์ที่ 3 เมื่อทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนไม่เอาสถาบันกษัตริย์ และเป็น 2 พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในประเทศ ถ้า 2 พรรคนี้รวมกันเป็นรัฐบาล ฝ่ายอนุรักษนิยมก็จะโดนรุก จนในที่สุดทหารก็จะต้องยึดอำนาจ และอาจเกิดสงครามประชาชน จึงดึงพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมจัดตั้งเป็นรัฐบาลกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม
เป็นการแยกสลายพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทย โดยมีการยอมให้ทักษิณกลับประเทศและจำคุกแค่ 1 ปี แถมแสดงบทบาทกร่างได้ทั่วประเทศ
แต่พรรคเพื่อไทย ทักษิณและแพทองธาร รวมทั้งสส.ในพรรคกลับไม่มีศักยภาพบริหารประเทศอย่างที่ประกาศ ส่งผลให้ประชาชน
เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า มีการคอร์รัปชั่นทั้งในพวกนักการเมืองและข้าราชการที่มีข่าวมากขึ้นทุกวัน พร้อมกับข่าวพวกต่างชาติเข้ายึดครอง
การทำมาหากินของคนไทย ทั้งผิดและถูกกฎหมาย ความไร้ประสิทธิภาพขององค์กรต่างๆส่วนพรรคฝ่ายค้านแม้ค้านแบบขึงขังโจมตี แต่ก็กลัวพรรคเพื่อไทย ว่าสมัยหน้าอาจจะไม่ได้ร่วมกันเป็นรัฐบาล คนในพรรคเองก็ไร้ความสามารถเกือบทั้งหมด ดูได้จากการอภิปรายทุกครั้ง ประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่เห็นหัวประเทศไทย
จึงมองหาแสงสว่างในอนาคตอันใกล้นี้ไม่เห็น
ทั้งหมดนี้เป็นผลจากกลยุทธ์ 2 ฝ่าย 3 พรรค
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี