ราวๆบ่ายโมงครึ่งของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 คนกรุงเทพฯและอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ ได้รับรู้ถึงการโยกตัวของแผ่นดิน โดยเฉพาะเชียงใหม่, เชียงราย และแม่ฮ่องสอน จะแรงกว่าเพื่อน แต่ที่เสียหายเป็นมูลค่ามากที่สุดก็คือกรุงเทพมหานคร
มีการโพสต์ตามหน้าสื่อโซเชียลจำนวนมหาศาล แสดงความรู้สึกของแต่ละคนที่สัมผัสกับความไม่ปกติ ส่วนใหญ่ก็นึกว่าตัวเองมีอาการของโรคภัยไข้เจ็บที่น่าวิตก เช่น ความดันขึ้น, สโตรค หรือจะเป็นลมแต่ไม่นานก็พบความจริงว่าเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แม้คนรุ่นผมจะเคยผ่านแผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในกรุงเทพฯมา 2 หรือ 3 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยเจอผลกระทบระดับนี้มาก่อน
อาคารจำนวนมากเกิดรอยร้าว,ผู้คนมากมายต้องออกจากอาคารที่ทำงาน และที่พักอาศัยในตึกสูงมาอยู่บนฟุตปาธและท้องถนน ในสวนสาธารณะ หรือไปพักตามร้านรวงที่อยู่ติดพื้น, บริษัทต่างๆ ให้พนักงานกลับบ้าน เช่นเดียวกับโรงเรียนทั้งหมด, โรงพยาบาลต้องย้ายผู้ป่วยกันโกลาหล, รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินหยุดให้บริการ, บนถนนเกือบทุกสายรถติดสาหัส ฯลฯ
หลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ทุกคนงุนงงสับสน แต่ใช้เวลาไม่นานนัก ข้อมูลต่างๆ ก็ทยอยออกมาว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ความรุนแรงขนาด 8.2 ริกเตอร์ ระดับลึก 10 กิโลเมตรซึ่งศูนย์กลางนี้ห่างจากอำเภอปางมะผ้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน ราวๆ 326 กิโลเมตร รอยเลื่อนสะกายถือเป็น1 ใน 3 รอยเลื่อนใหญ่สุดของโลกที่ยังมีพลังอยู่ หรือที่เรียกว่า Active Fault คือยังจะเคลื่อนตัวหรือสร้างปัญหาได้อีกในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
แต่ผ่านมา 24 ชั่วโมง ข้อมูลก็กลายเป็นว่า ความรุนแรงของแผ่นดินไหวตรงศูนย์กลางคราวนี้มากถึง8.9 ริกเตอร์ และความรุนแรงที่แผ่มาถึงกรุงเทพฯอยู่ในราว 4.5 - 5 ริกเตอร์ คาดว่าในเมียนมาจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 10,000 คน
ส่วนในกรุงเทพฯ ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ก็เสียชีวิตไปแล้ว 19 ศพ จากการถล่มลงมาของอาคาร33 ชั้น ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ถนนกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ทุกเหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรม หรือเหตุการณ์ใหญ่ที่กระทบความรู้สึกของประชาชน เราก็จะได้เห็นทั้งด้านดีที่น่าประทับใจ และด้านเลวจากคนชั่วช้าที่ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
ด้านดีที่พบเห็นหลังจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่มคือ ตลอดทั้งวันมีข้อมูลที่เป็นความรู้ใหม่เกี่ยวกับธรณีวิทยาออกมามากมายสำหรับคนไทยในวงกว้าง รวมถึงผู้รู้ในสาขาต่างๆ ออกมาแนะนำตรวจสอบที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน และการปฏิบัติตัวในอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก
ยังมีน้ำใจของคนไทยเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง นอกจากหน่วยงานของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องทำตามหน้าที่อยู่แล้ว ยังมีการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ อีกมากมาย ทั้งหน่วยทหารทุกกองทัพและตำรวจ, บริษัทก่อสร้างและบริษัทรับรื้อถอนต่างๆที่นำเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วย, หน่วยอาสาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, อาสากู้ภัย, มูลนิธิและเอกชนต่างๆที่บริจาคน้ำและอาหารให้ผู้ปฏิบัติการ
แต่ในด้านดีก็ยังมีปัญหาสับสนวุ่นวายก็ตามมาบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ในฐานะอาสากู้ภัย ร่วมกตัญญูถึงขนาดเอ่ยปากว่า กู้ภัยไม่รู้มาจากไหนมากเกินไป ไม่มีการจัดระเบียบ ทำให้ทำงานยาก
นอกจากนี้การมีผู้ปฏิบัติการจำนวนมาก รวมถึงสื่อมวลชนที่เข้าไปปักหลักทำข่าว ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ทั้งคนไทยและต่างประเทศ ที่เอากล้องพยายามเข้าไปถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ เพื่ออัปโหลดขึ้นช่องทางออนไลน์ของตัวเอง เรียกยอดผู้ชม สร้างความวุ่นวาย เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ควรเป็นบทเรียนในภายหน้าที่จะต้องมีข้อห้ามเข้าพื้นที่อันตราย หรือพื้นที่ใกล้เคียงเกินไป อนุญาตให้เฉพาะนักข่าวจากสำนักข่าวที่มีบัตรแสดงเท่านั้น
ส่วนด้านเลวร้ายที่เห็นและสัมผัสได้ด้วยตาเปล่าทันทีคือ บรรดาแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์วินที่ฉวยโอกาสขูดรีด ขึ้นค่าโดยสารหลายเท่าตัว พวกนี้ผิวเร็วไม่ต่างจากสัตว์ที่รับรู้ความไหวตัวของแผ่นดิน เพราะไม่ใช่การขึ้นราคาหลังจากรถติดหนักแล้ว แต่เริ่มเรียกราคาทันทีหลังเกิดเหตุได้ไม่นาน ตอนที่รถยังไม่ติดด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ยังมีพวกสารเลวที่ใช้ช่องทางสื่อออนไลน์ หากินบนความทุกข์ร้อนของผู้คน ปล่อยข่าวปลอม ปั่นสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น เปิดรับบริจาคต่างๆ จากความใจบุญของคนไทย แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ให้โอนเงิน, ให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นดูดเงิน, ให้ลงทะเบียนเพื่อขอรับการช่วยเหลือ หลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือบัญชีธนาคาร
มีพวกโรคจิตที่ปล่อยข่าวปลอม บิดเบือนสถานการณ์ให้แย่ลง สร้างความตื่นตระหนก โดยนำภาพเก่าหรือภาพจากเหตุการณ์อื่นๆ มาประกอบกับข้อความเพื่อให้คนตื่นตกใจ รวมถึงหมอดูและพวกอุตริเป็นผู้วิเศษทั้งหลายที่อาศัยเหตุการณ์นี้เพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง และแน่นอน พลาดไม่ได้สำหรับนักการเมืองหิวแสงจำนวนหนึ่ง
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ตามมาหลังตึกถล่มคือข้อสงสัยเกี่ยวกับมาตรฐานการสร้างอาคารโดย บริษัทอิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ร่วมทุนกับ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป มูลค่า 2,136 ล้านบาท ซึ่งเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 2563 เพราะทันทีที่ตึกถล่ม บริษัทจีนที่เพิ่งโพสต์แสดงความสำเร็จบนหน้าสื่อออนไลน์ของตนเองได้ไม่นาน ก็ลบโพสต์นั้นออกทันที นอกจากนี้ยังมีคนของบริษัทถูกกล้องจับได้ในการเคลื่อนย้ายเอกสารหลายกล่อง
แม้จะมีพวกโลกสวยขอร้องว่า อย่าเพิ่งออกเสียงโจมตีหรือกล่าวหาใดๆ ในขณะนี้ แต่ใครจะห้ามความสงสัยของเรื่องคอร์รัปชั่นได้?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี