การเมืองไม่ใช่เรื่องสร้างสรรค์แม้เท่าริ้นไร มีประโยชน์ที่สุดก็ช่วยให้มีการพัฒนาบ้านเมืองบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องวัตถุล้วน แม้พัฒนากฎหมายก็จัดว่าเป็นวัตถุและเกี่ยวเนื่องกับวัตถุ แต่ไม่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนามนุษย์ให้ขึ้นสู่ความสมบูรณ์แต่อย่างใด
เพราะการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์
ในด้านอุดมการณ์หรือเป้าหมายของ “การเมือง” คือทำ “อรรถประโยชน์สุข” แก่พลเมืองของประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ
นักการเมืองและข้าราชการ ซึ่งทำตามนโยบายของนักการเมือง
แต่ของจริงก็คือ นักการเมืองแทบทั้งหมดทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ยิ่งในปัจจุบันนี้แทบพูดได้ว่า นักการเมืองทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองแทบทั้งหมด พลเมืองเป็นแค่เหยื่อหรือเครื่องมือของพวกเขา เพื่อเข้าสู่อำนาจการปกครองประเทศ และคอยปกป้อง แก้ต่างแทนพวกเขา ส่วนสิ่งที่ได้รับตอบแทนก็แค่กระดูกที่นักการเมืองโยนให้แทะ พอได้อร่อยน้ำลายของตัวเอง และเสพติดมัน
แต่ทั้งเนื้อที่นักการเมืองกินและกระดูกที่พวกเขาโยนให้พลเมืองนั้น ก็ล้วนเป็นเลือดเนื้อของคนที่เสียภาษี บวกกับรายได้อื่นของรัฐ เช่นรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
จึงเห็นได้ว่า “อำนาจ” โดยตัวมันเองนั้นเป็นการบั่นทอนและทำลายมากกว่าจะสร้างอรรถประโยชน์สุขแก่พลเมือง และไม่มีการสร้างสรรค์ใดๆ
นั่นเป็นการบั่นทอนและทำลายโดยนักการเมืองและเครือข่าย รวมทั้งข้าราชการทุจริตด้วย ซึ่งเป็น “การทำลายจากภายนอก” หรือคนอื่น
แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ “การทำลายจากภายใน” ของตัวพลเมืองแต่ละคนเอง
เห็นได้จากการที่พลเมืองถูกนักการเมืองปั่นหัวให้แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย ตั้งแต่ยุคคนเสื้อแดงมาจนถึงยุคคนเสื้อส้มในปัจจุบัน
ขอบอกตรงนี้ก่อนว่า เหตุที่นักการเมืองต้องแบ่งแยกพลเมืองให้แตกแยกเป็นฝักฝ่าย ก็เพื่อให้มีคนสนับสนุนพวกเขา คอยปกป้อง แก้ตัว แก้ต่าง หรือเถียง กระทั่งก่นด่าแทนพวกเขา
การเมืองยุคก่อนคนเสื้อแดงหรือก่อนพรรคไทยรักไทยนั้น ทุกพรรคล้วนไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาแข่งกันที่นโยบายและตัวบุคคลในพรรค ว่าพรรคใดจะมีนักการเมืองที่เก่ง เด่น และมีน้อยมากที่จะเลือกเพราะความสวยความหล่อเหมือนในปัจจุบัน
แม้จะมีนักการเมืองที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับประกาศตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างในยุคเสื้อแดงและเสื้อส้ม
เมื่อนักการเมือง “รุ่นเก่า” แต่ละพรรคต่างก็แข่งขันกันที่นโยบายและตัวบุคคล พรรคเก่าแก่เหล่านั้นจึงได้เปรียบพรรคใหม่ๆ เพราะมีบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สะสมมานาน และมีผลงานมากกว่าข่าวการคอร์รัปชั่น เมื่อพรรคใหม่อยากมีอำนาจ จะแข่งขันแบบเดิมๆ ก็จะได้ผลน้อย จึงต้องหา “วิธี” ใหม่ นั่นคือ “หาเหตุ” ที่จะแบ่งพลเมืองให้แตกแยกเป็นฝักฝ่าย
หาเหตุอื่นใดไม่แตกต่างอย่างชัดเจนกับพวกพรรคเก่า จึงต้องแบ่งเป็น “ฝ่ายเอาเจ้ากับล้มเจ้า”
และพวกเจ้าของพรรคก็อยากเป็นเบอร์หนี่งของประเทศโดยกมลสันดานของพวกนิยมอำนาจอยู่แล้ว เพราะเมื่อมีอำนาจสูงที่สุดในประเทศแล้วก็เหมือนเป็นเจ้าของประเทศ อยากได้อะไร ทำอะไรก็ย่อมได้ดั่งใจ
ขนาดยังไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศ ก็ยังมีบางคนบางตระกูลกอบโกย คดโกงทรัพย์สินของประเทศไปมหาศาลและยังไม่หยุด เพราะเป้าหมายสุดท้ายของเขาคือล้างผลาญประเทศให้ย่อยยับ
ส่วนพวกลิ่วล้อกองเชียร์ก็หลับหูหลับตาเชียร์เหมือนในกะโหลกมีแต่อาจม พิจารณาเรื่องราวทั้งหลายในสังคมและการเมืองไม่เป็น จึงคอยแต่ปกป้อง แก้ตัว แก้ต่าง โต้เถียงแทน ลาดตระเวนดูว่าใครเห็นต่างในโลกออนไลน์บ้าง ก็พาพวก “ห่า” หรือเอา“ทัวร์ลง” ซ้ำยังผลิตเรื่องโป้ปด ก่อกวน ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ทุกวัน
ทั้งพวกเสื้อแดงและเสื้อส้มนั้นพฤติกรรมเหมือนกัน และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่พวกเขากระทำอยู่นั้นคือการทำลายตัวเองจากภายใน
เพราะแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงนั้นพวกเขาคิดแต่เรื่องที่ “เท็จ” คิดและทำแต่เรื่องชั่วช้าสารเลวนั้น คือการฝึกใจตัวเองให้เป็นอย่างนั้น และตอกย้ำมันอยู่วันแล้ววันเล่า
เพราะ “คนจะเป็นอะไร แบบไหน และอย่างไร” นั้น ล้วนเกิดจากความคิด การพูด และการกระทำของตัวเองทั้งนั้น คนที่คิดดีพูดดี ทำดี ชีวิตของเขาก็จะเป็นอย่างนั้น หากคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ชีวิตของเขาก็จะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน
แรกๆ มันจะเป็นพฤติกรรม เมื่อมากเข้าก็สั่งสมเป็นอุปนิสัย หากยิ่งคิดซ้ำ พูดซ้ำทำซ้ำ ก็ยิ่งตอกย้ำมันให้ฝังลึกลงสู่จิตใต้สำนึก จนมันเป็นชะตากรรมของตนเอง
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี