สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรืออีกชื่อหนึ่งว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก คือทางปลายสุดของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา พื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหมด
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา ปรากฎรายงานการหายสาบสูญอย่างผิดปกติในพื้นที่เบอร์มิวดามากมาย เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทรจำนวนนับไม่ถ้วน ชีวิตมนุษย์อีกนับพันหายสาบสูญไปในพื้นที่ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอยใดๆ ทั้งยังปราศจากซากศพและไม่มีเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินให้เห็น
ส่วนมากเครื่องบินที่สาบสูญในบริเวณนี้จะขาดการติดต่อกับสถานีปลายทางก่อนหายตัวไป แม้ว่าช่วงเวลานั้นทัศนวิสัยดีและสงบแจ่มใส ไร้พายุใดๆ ก็ตาม แต่พอถึงช่วงที่เครื่องบินผ่านบริเวณนี้กลับหายตัวไปเฉยๆ นักบินบางคนโชคดีสามารถกลับมาที่ฐานปฏิบัติการได้ทัน สิ่งหนึ่งที่นักบินทุกคนบอกตรงกันคือ ไม่สามารถควบคุมกลไกใดๆของเครื่องบินได้เลย นอกจากนี้เข็มทิศประจำเครื่องก็หมุนไปรอบทิศ อีกทั้งท้องฟ้าบริเวณนั้นกลายเป็นสีเหลือง คล้ายมีเมฆหมอกหนาทีบ ทั้งๆที่ความจริงแล้วบรรยากาศภายนอกสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นวันที่แจ่มใสไร้เมฆหมอกก็ตาม
จากสถิติของบริษัท Lioyd’s ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า
โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่หายไปอย่างลึกลับถึง 15 ลำ โดยไม่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือใดๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งที่ทำให้ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นคือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทันสมัยที่ช่วยในการเดินเรือ เช่น วิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่อง และโซนาร์นำร่อง แม้ว่าจะค้นหาเรือทุกลำที่หายสาบสูญไปเป็นเดือนๆ แต่ก็ไม่พบเรือเหล่านั้นหรือแม้แต่ซากแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณเบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอนเป็นจำนวน 2,101 คน รายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นแสดงให้เห็นความผิดปกติในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จนตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์หลายทฤษฏี เช่น ทฤษฎีแรกเป็นการแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง เครื่องบินจึงดิ่งลงสู่มหาสมุทร และถูกดูดกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ 2 ตามมาในเรื่องของประตูมิติ ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากับพลังของสนามแรงโน้มถ่วง ทำให้เกิดช่องว่างที่เชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่งในอวกาศ เมื่อวัตถุหลุดผ่านเข้าไปอีกมิติแล้ว จะไม่สามารถกลับมาได้อีก
ส่วนทฤษฎีที่ 3 นั้นมาแนวนอกโลกเลยคือ มีผู้สันนิษฐานว่าอาจมีมนุษย์ต่างดาวขโมยเรือหรือเครื่องบินและสิ่งมีชีวิตลงไปใต้มหาสมุทรเพื่อศึกษาหรือทดลองบางอย่าง ข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับรายงานที่ว่า มีผู้พบเห็นจานบินลึกลับร่อนไปร่อนมาเหนือสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอยู่หลายครั้ง
ทฤษฎีที่ 4 เป็นเรื่องของกระแสน้ำวนมหาศาล นักประดาน้ำมักจะพบเห็น"ปล่องน้ำเงิน" อยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแหล่งหินปะการังในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามาส ปล่องเหล่านี้มีลักษณะเป็นอุโมงค์ใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาน้ำลึก ปล่องเหล่านี้เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี ปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง เมื่อกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือลงสู่ก้นทะเลอย่างรวดเร็ว
ทฤษฎีที่ 5 ก๊าซมีเธน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย รายงานว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีก๊าซมีเธนอยู่ใต้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก เมื่อขยายตัวเป็นวงกว้าง ไม่ว่าวัตถุใด ๆ เคลื่อนที่ผ่าน จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมลงสู่ห้วงทะเลลึก
หลังจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นปริศนามาหลายทศวรรษ สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ไขความลึกลับนี้ออก นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การก่อตัวของก๊าซธรรมชาติโดยเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ทำให้เรือและเครื่องบินเสียการควบคุมก่อนที่จะจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษากล่าวว่า บริเวณนั้น มีก๊าซมีเธนจำนวนมากปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดใหญ่ แล้วแตกตัวเหนือบริเวณดังกล่าว
เมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิวจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้าง แล้วก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ หากเรือลำใดแล่นผ่านมายังบริเวณนั้นก็จะเข้าไปในฟองก๊าซมีเทนขนาดใหญ่ จนทำให้เรือเสียการควบคุม และจมสู่ทะเลในที่สุด รายงานยังระบุว่าหากฟองก๊าซมีขนาดใหญ่มากๆ ครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงเพียงพอ ยังสามารถทำให้เครื่องบินที่อยู่บนน่านฟ้า เหนือสามเหลี่ยมฯ เสียการควบคุม และดิ่งสงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี