เชื่อว่าหลายคนยังคงประทับใจกับบทเพลงอันมีเอกลักษณ์ บวกกับเสน่ห์การร้อง ลีลาการแสดง และเสื้อผ้ายูนิฟอร์มของสมาชิกวง “นกแล” ที่มาพร้อมกับชุดพื้นเมืองภาคเหนือ วงดนตรีที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 30 ปี และมีทายาทสืบทอดมาแล้วกว่า 18 รุ่น พวกเขาสานต่อและสืบสาน ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาอย่างไร วันนี้ “สตาร์เรโทร” ได้โอกาสถามความในใจ จากสมาชิกรุ่นบุกเบิก ผู้เปรียบเสมือนเป็นโลโก้วงนกแล ทินกร ศรีวิชัย, ตุ๊ดตู่-ศรัญญา อุปพันธ์ พ่วงด้วยผู้อยู่เบื้องหลัง ต้อม-โสฬส สุขเจริญ ที่มาร่วมอัพเดทเรื่องราวให้หายคิดถึงกัน
หน้าที่การงานในปัจจุบัน
ตุ๊ดตู่ : ตอนนี้ทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่ที่ห้องอาหารแสนคําเทอเรส ในจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ ทำที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ คือดูทั้งเรื่องบัญชี ธุรการ ดูแลทั้งหมดเลยค่ะ แล้วก็มีงานร้องเพลงอยู่บ้าง ซึ่งจะร้องเฉพาะกับวงนกแลเท่านั้น อย่างงานคอนเสิร์ตของนกแล ก็ไปร่วมแจมกับวงของรุ่นน้อง เพราะในความทรงจำส่วนหนึ่ง แฟนเพลงยังไม่ลืมพวกเรา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปช่วยน้องๆ ช่วยเทรน ช่วยร้อง ช่วยออกสื่อ ในเชียงใหม่ เราเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ ครอบครัวนกแล
ทินกร : ผมทำธุรกิจส่วนตัว เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาครับ ปั้นเอง ทำเอง คิดงานเอง เป็นเจ้าของกิจการเองครับ เป็นสไตล์ผมไม่มีแบรนด์อะไร เพราะเป็นกิจการของทางบ้านที่ทำมานานแล้ว ผมก็ทำสืบต่อมา โดยมีหน้าที่ปั้นอย่างเดียว ลงมือเอง ปั้นเอง
ตามออเดอร์ที่ได้รับมา ทำทุกวันครับ แต่ถ้าสมมุติจะมีคอนเสิร์ตใหญ่เราก็ไปซ้อม ถ้ามีออเดอร์งานปั้นเข้ามา เราก็ทำที่บ้าน ซึ่งออเดอร์จะมีมาตลอด ช่วยให้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้ ส่วนงานดนตรีก็มีไปช่วยน้องๆ ของอาจารย์สมเกียรติ สุยะราช (ผู้ก่อตั้งวงนกแล) เต็มที่ทุกงานครับ
ย้อนวันวาน “นกแล” ในความทรงจำ
ตุ๊ดตู่ : พี่ทินกรเริ่มมาก่อนค่ะ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2528 เริ่มด้วย “หนุ่มดอยเต่า” ชุดแรก แล้วตู่ถึงมาร่วมช่วง พ.ศ.2529 ตู่เข้ามาทีหลังพี่ทินกร 1 ปี
ทินกร : เราเป็นรุ่นที่ฝึกหัดมาด้วยกัน ช่วงยังไม่ได้ออกอัลบั้ม ก็ฝึกฝนกันก่อน ตอนนั้นเริ่มต้นวงนกแล ก็จะมี พี่น้อย (ศิริลักษณ์ จุมปามณีวร), พี่หนุ่ม (ปรัชญา ปัญจปัญญา), พี่หนึ่ง (สุวิทย์ ไชยช่วย), พี่นก (ทิพย์พร นามปวน), ผู้พันต้อม (โสฬส สุขเจริญ) แล้วก็ผม คือเริ่มปีแรกๆ กันยังไม่ได้มีอัลบั้ม เป็นแค่วงดนตรีของโรงเรียนพุทธิโสภณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีอาจารย์สมเกียรติ สุยะราช เป็นผู้ก่อตั้งวง
ตุ๊ดตู่ : เมื่อก่อนจะไม่เหมือนสมัยนี้ ที่มีความสนใจด้านดนตรี ก็ไปฝึกฝน แล้วมาร้อง แต่รุ่นพวกเรา เกิดจากการจับเด็กซนๆ มาทดลองความสามารถดู แล้วปรากฏว่าทำได้ อาจารย์สมเกียรติ ก็จะบอกว่าทำอย่างนี้สิ ทำแบบนี้ได้ไหม เราก็จะทำตามที่ครูบอก พอได้อย่างที่ครูบอก ก็ได้บุคลิกลักษณะของตนเอง จากนั้นก็สร้างเพลงขึ้นมาตามบุคลิกของแต่ละคนที่อาจารย์เห็นแวว
ทินกร : ของผมก็จะซนๆ ออกมาเป็นเพลง “ไอ้หนุ่มดอยเต่า” ส่วนตู๊ดตู่ ก็จะเป็นสาวหวาน อย่างเพลง “อย่าลืมน้องสาว”
ต้อม : จากจุดเริ่มแรกที่วงนกแลเกิดขึ้น เราเป็นแค่วงดุริยางค์ระดับประถมที่ได้แชมป์ของภาคเหนือ 3 ปีซ้อน ยังไม่ได้สร้างเป็นวงนกแลเลยครับ คือครูสมเกียรติเห็นแววเด็กๆ จึงดึงมาทำเป็นวงโฟล์คซอง และครูเป็นเพื่อนกับพี่จรัล มโนเพ็ชร ก็ช่วยกันผลักดัน สร้างเด็กขึ้นมา นั่นเป็นจุดแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “โครงการดนตรีเพื่อเยาวชน” ของโรงเรียนพุทธิโสภณ จังหวัดเชียงใหม่ สุดท้ายเด็กชุดนั้นก็ได้มาเป็น “นกแล” ชุดแรก มีอัลบั้มแรกขึ้นมาก่อนที่จะมาเป็น “หนุ่มดอยเต่า” คือ “นกแลกับดอกทานตะวัน” แล้วก็เล่นที่เชียงใหม่กันเรื่อยมา วันหนึ่งอาจารย์สมเกียรติได้รับโทรศัพท์ติดต่อให้นำวงดนตรีนกแลไปเล่นแบบเต็มวงที่ลานโลกดนตรี ช่อง 5 สนามเป้า จากงานนั้นเรียกว่า แจ้งเกิดเลย ซึ่งจริงๆ เราขอมาเล่นแค่เพลงเดียว แต่ครูเล่าให้ฟังว่าวันนั้นบังเอิญเป็นวันที่ เขาทราย ขึ้นชกมวย ช่อง 5 ต่อจากรายการ โลกดนตรี ที่นกแลเล่นพอดี คนก็ได้ชมเราทั่วทั้งประเทศ พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) ที่มีโอกาสได้ชมการแสดงด้วย ก็เห็นแววว่ามีความเป็นไปได้ พี่เต๋อเลยขึ้นไปที่เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยและได้เป็นอัลบั้มเพลงแรกอย่างเป็นทางการของวงนกแล ในปีพ.ศ.2528 ชื่อชุด “หนุ่มดอยเต่า”
เมื่อวงนกแล ดังเป็นพลุแตก
ทินกร : ดีใจครับ จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่เชียงใหม่ แต่อยู่ๆ ก็ดังทั่วประเทศ ไปไหนมีคนรู้จัก
ต้อม : ดังขนาดที่ว่าต้องกินข้าวบนรถตู้ เพราะเคยจองร้านอาหาร ไปนั่งทานข้าวกัน แต่พอแฟนๆ รู้ว่านกแลมากิน แป๊บเดียวมากันเต็มหน้าร้านเลยครับ
ตุ๊ดตู่ : โชคดีมากๆ ค่ะ แต่โดยส่วนตัวตู่เอง ตอนนั้นไม่รู้นะคะคำว่า “ดัง” คืออะไร เพราะว่าเราเป็นเด็ก เรารู้แค่ว่ามีแต่คนอยากจะ กอด ถ่ายรูป จับมือ อะไรต่างๆ นานา เราไม่เข้าใจ ตอนนั้นเป็นเด็ก 9 ขวบ มีคนมาบอกว่า รู้ไหมว่า นกแล ดังมากเลยนะ ก็จะได้แค่บอกว่า จริงเหรอคะ เพราะเราจะรู้แค่ว่า มีหน้าที่ต้องไปร้องเพลง เราไปร้องที่ไหน เหนือ ใต้ ออก ตก กลาง อีสาน แฟนเพลง รู้หมด แล้วเขาก็จะวิ่งตามรถตู้เรา ตอนนั้นก็จะรู้สึกดีใจว่าเขาเข้ามาเล่นสนุกกับเรา ไม่ได้รู้สึกว่ามีชื่อเสียง เห็นเขาวิ่งตามเรา แล้วสนุกมีความสุข เห็นเขาหัวเราะยิ้มสดใส เราก็มีอารมณ์แบบนั้นร่วมไปกับเขาด้วย
ค่าตอบแทนที่ได้รับ
ต้อม : ครูจะกำหนดให้ครับ ดูแลในส่วนของค่าเทอม ค่าเรียน และส่วนหนึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว มีกองกลาง ครูเปรียบเหมือนเป็นผู้ปกครองเลยครับ แต่ลูกอาจจะเยอะหน่อย ต้องดูแลหลายคน ผมโตสุดก็จะช่วยครู อย่างวันนี้ก็มาช่วยดูแลน้องๆ แทนครู เขาก็จะซนตามประสาเด็กเขา แต่สิ่งที่ผมเห็นว่าแปลกคือ เมื่อทุกคนขึ้นเวที จะเปลี่ยนโหมดอัตโนมัติ ทุกคนจะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองหมด ใครเล่นเครื่องดนตรีอะไรก็จะไปอยู่ตรงจุดนั้น จัดเซตตั้งเตรียมของ ดูไมค์ ดูความพร้อมทุกอย่างเอง และพวกเราจะช่วยยกเครื่องดนตรีกันเองตั้งแต่เด็ก ใครจะเล่นอะไรก็ยกก็หิ้วกันเอง
เมื่อความดังแผ่วลง
ตุ๊ดตู่ : เราก็แยกย้ายกันไปทำงานตามที่เราเรียนกันมาค่ะ อย่างตู่จบบัญชีที่วิทยาลัยเทคโนโลยีศรีธนาพณิชยการ เชียงใหม่ ก็ตั้งใจว่าจะไปทำงานตามที่เรียนมา ในเรื่องงานด้านดนตรีเราก็เหมือนอิ่ม อิ่มมาก (หัวเราะ) เพราะว่าเวลาไปเล่นดนตรีตามสถานที่ต่างๆ เรารู้สึกโหยหาบ้าน เรารู้สึกอยากกลับบ้าน อยากอยู่บ้าน เราเดินสายเล่นดนตรีเยอะมากไม่มีเวลาได้อยู่กับพ่อแม่เลย ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว พอถึง ณ จุดหนึ่งเราไม่รู้ว่าเราหยุดดังหรือไม่หยุดดัง เพียงแค่ว่าเราไม่ได้ร้องแล้ว เราก็มีหน้าที่ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง จากหน้าที่ร้องเพลง เราก็ไปทำหน้าที่เรียนหนังสือให้จบ หางานทำ ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม อย่างช่วงแรกๆ คนก็จำได้นะว่า เออคนนี้อยู่ วงนกแล แต่พอช่วงหนึ่งนานไป เราโตขึ้น คนก็จะจำไม่ได้ละ หน้าตาเปลี่ยนทรงผมเปลี่ยน ก็จะหายไป ซึ่งตู่ไม่รู้สึกเสียดายอะไรนะเพราะจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้หายไปไหน เรายังคงคลุกคลีอยู่ในเส้นสายงานดนตรีตลอด คุณครูยังอยู่ เราเป็นรุ่นพี่ก็ไปสอนให้รุ่นน้องได้ เราอยู่ในวงการร้องเพลงเพียงแค่ว่าไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน
ทินกร : ผมก็หันมาเรียนหนังสือต่อ คล้ายๆ กับตู่ คือ อิ่มตัว เราร้องเพลงทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้หยุดเลย ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เดินทาง ปิดเทอมเป็นเดือนๆ ก็เดินสายงานร้องเพลงไปทั่วประเทศ ไปต่างประเทศด้วย อเมริกาสองครั้ง ญี่ปุ่น ครั้งหนึ่ง
ตุ๊ดตู่ : รู้ว่าตัวเองดังมากๆ อีกทีก็ตอนที่ไปร้องเพลงให้คนต่างประเทศได้ฟังและได้ดูค่ะ
เอกลักษณ์ของนกแล
ทินกร : สำเนียงทางเหนือครับ ภาษาคำเมือง เป็นสิ่งที่เราอนุรักษ์เอาไว้ รวมถึงเสื้อผ้าพื้นเมืองที่เราใส่กัน
ต้อม : เราอยากจะสื่อในด้านของเอกลักษณ์ทางภาคเหนือ เพราะดนตรีก็จะมีของทุกภาค แต่นกแล ก็จะพยายามคงเอกลักษณ์ของศิลปะพื้นบ้านล้านนา ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงหรือว่าการแต่งกาย บางทีเราก็อาจจะมีประยุกต์กับพื้นเมือง เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมสืบสานตำนานของนักดนตรีรุ่นพี่ๆ ความเป็นนกแลให้คงอยู่ ขึ้นเวทีปุ๊บไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นไหนก็จะต้องชัดเจนมีเอกลักษณ์ว่านี่คือ นกแล นี่คือศิลปินพื้นบ้านล้านนา
ตุ๊ดตู่ : ถ้าย้อนกลับไปฟังเพลงนกแลตั้งแต่อัลบั้มแรก “หนุ่มดอยเต่า” จะเห็นว่าเราไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นอายความบริสุทธิ์ในเพลงของเราค่ะ นกแลไม่ได้ทิ้งคอนเซ็ปต์เดิม อย่างชุดพื้นเมืองที่เราใส่ เราแต่งเพื่อนำเสนอให้คนได้รู้จักนกแล ว่าเรามาจากทางเหนือ เราใส่ชุดพื้นเมือง เพลงก็จะเป็นเพลงของเด็กๆ ถ้าเต้นก็จะเป็นท่าเต้นที่ยังเอกลักษณ์ของนกแลอยู่ แต่ว่าเด็กสมัยนี้เขาพัฒนาได้เยอะกว่าเรา เพราะว่ามีเทคโนโลยี มีอะไรที่เข้ามาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เด็กรุ่นใหม่เขาก็จะไปได้เร็วกว่ารุ่นเรา ก็อาจจะมีความทันสมัยใหม่เข้ามาแทรกบ้าง
“นกแล” ยังคงเดินหน้า
ต้อม : ตอนนี้วงนกแลมีถึงรุ่นที่ 18 แล้วครับ ครูก็จะทำมาเรื่อยๆ เห็นแววเด็กที่มีความสามารถก็จะจับมาฝึกดนตรีแล้วก็รวมวง เรื่องที่แปลกมากอย่างหนึ่งที่ผมเห็น คือเด็กที่ครูดึงขึ้นมาแต่ละคน เขามีพรสวรรค์ในตัวของเขา เหมือนที่ตู๊ดตู่และทินกรมี ส่วนน้องๆ แต่ละคนก็จะมีการต่อยอด บางคนเป็นนักดนตรีอาชีพที่เชียงใหม่ บางคนก็เล่นตามร้านอาหารหลายที่ อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่ารุ่นแรกๆ แต่เขาก็ไปประกอบอาชีพ ใช้กิจกรรมตรงนี้ไปต่อยอดเป็นนักดนตรีอาชีพ ทำออแกไนซ์ต่างๆ แต่ที่ไปได้ไกลที่สุด คือ หนุ่ม ปรัชญา มือคีย์บอร์ดรุ่นหนุ่มดอยเต่า เจ้าของเพลงสุดสาคร ที่ตอนนี้ไปเล่นดนตรีถึงสหรัฐอเมริกา เป็นนักดนตรีอาชีพ แล้วก็มีอีก 2-3 คน ไปอยู่ที่อเมริกาครับ พวกเราเป็นครอบครัว มากกว่าสมาชิกร่วมวง โดยมีพ่อของเราก็คือครูสมเกียรติ ถ้ามีงานอะไรปุ๊บ ครูเรียกเมื่อไหร่ พวกเราพร้อมทันที แบบไม่ต้องคิด
มีเพลงใหม่ออกมาเรื่อยๆ
ต้อม : มีครับ ล่าสุดก็มี “ดอยเต่าดอทคอม”, “หนุ่มผมแดง” เรายังคงแนวนกแลเหมือนเดิม แต่ปรับเปลี่ยนทำดนตรีให้มีสีสันขึ้นเข้ากับยุคปัจจุบัน
ตุ๊ดตู่ : ตอนนี้ถ้าใครไปเที่ยวเชียงใหม่ก็จะได้ยินเพลง “โอ้ละหนอเชียงใหม่” เป็นเพลงประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ
หวนคืนเวทีใหญ่ กับความพิเศษที่เตรียมไว้
ต้อม : ต้องกราบขอบคุณเอไทม์มีเดียแล้วก็ทางพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) ที่ยังรักและให้ความเอ็นดูกับนกแลอยู่ ให้โอกาส ทินกรกับตุ๊ดตู่ เป็นตัวแทนขึ้นเวที The Lost Love Songs To Be Continued ที่จะจัดขึ้น 6-7 สิงหาคมนี้ ในฐานะที่ผมร่วมดูแลวง พอได้ทราบข่าวเราน้ำตาคลอ ดีใจที่ผู้ใหญ่หลายท่านยังให้ความรักกับพวกเรา ครั้งนี้ถือเป็นเวทีใหญ่มากๆ ในรอบหลายๆ ปีของนกแล อยากให้แฟนเพลงของกรีนเวฟได้มาสนุกร่วมกัน และที่สำคัญนกแลมีเซอร์ไพรส์แน่นอนครับ
ทินกร : เรา 2 คนจะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ทุกคนรอคอยครับ ดีใจและภูมิใจมากๆ ที่จะได้เจอกับทุกคนอีกครั้ง และยังได้ร่วมเวทีเดียวกับศิลปินในตำนานอีกกว่า 50 ศิลปิน
ตุ๊ดตู่ : จริงๆ เรามีคอนเสิร์ตนกแลเล็กๆ เมื่อปีที่แล้ว เพื่อนำเงินไปสร้างโรงเรียนให้กับอำเภอฝางที่เชียงใหม่ รวมกันเพราะรู้สึกว่าเราอยากเล่นดนตรีกันเอง อยากกลับมาเจอกัน ก็เลยสร้างกิจกรรมขึ้นมาหารายได้ เพราะครูอยากจะสร้างอาคารเรียนชื่อนกแล ที่เชียงใหม่ แต่ครั้งนี้กับคอนเสิร์ต The Lost Love Songs To Be Continued ถือเป็นเวทีใหญ่ที่เราตื่นเต้นกันมาก เราจะมีบทเพลงเก่าๆ ในอดีตที่สร้างชื่อเสียงให้กับเรา มาพาแฟนๆ ย้อนไปสู่อดีตด้วยกันค่ะ
วางแพลนจัดคอนเสิร์ตรวมรุ่นนกแล
ต้อม : เราแพลนไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้รอผู้อุปการะจัดคอนเสิร์ตให้เราเต็มวง พวกเรายินดีที่จะกลับมารวมตัวกันแบบครบทีม เพื่อพบกับแฟนเพลงที่รักทุกท่าน คงต้องขอโอกาสจากท่านที่จะมาจัดให้เรา พวกเราพร้อมทุกคน รวมถึงน้องๆ ที่อยู่ต่างประเทศก็ยินดีกลับมาให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกันครับ แต่ถ้าอยากติดตามข่าวสารหรือผลงานของนกแล เรามี “นกแล แฟนเพจ” ให้ติดตามกันได้แบบเรียลไทม์ครับ
ขอเสียงสนับสนุนมาแบบนี้ อีกไม่นานคงได้เห็น “นกแล” พกพาของดีในกระเป๋าทั้งเพลงเก่าเพลงใหม่ มาปล่อยของบนเวที ให้แฟนเพลงได้เรียกความทรงจำกันค่ะ
ใบพร้าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี