เคยประกาศพักงานแสดงไปหลายปีก่อน เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก สำหรับนักแสดงอาวุโสมากฝีมือ “เมตตา รุ่งรัตน์” แต่วันนี้ “แม่เหน่ง” กลับมารับงานแสดงอีกครั้ง พร้อมด้วยร่างกายที่แข็งแรงขึ้นบวกกับจิตใจที่รักและคิดถึงการแสดงอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะไม่มีคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมายืนเคียงข้างเหมือนดั่งวันวานก็ตาม
กลับมารับงานละครแล้วนะคะ ที่หายไปก็คือไปดูแลสามีซึ่งป่วย จนสามีตายจากไปเมื่อปี 2556 แล้วเราก็ป่วยต่อ คือ สุขภาพแม่เหน่งก็ไม่ดีอยู่แล้วเลยไม่เล่นละคร แต่ตอนนี้สุขภาพดีขึ้น น้องลอร์ด(สยม สังวริบุตร) ชวนก็เลยรีบวิ่งปรู๊ดมาเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าก็มาเล่นรับเชิญก่อนนะในเรื่อง “อกธรณี” เล่นตอนเดียวแล้วก็ตาย เป็นย่าของพระเอก มาลองดูเพราะว่าคิดถึงคนในวงการ คิดถึงทุกคน เราก็เลยคิดว่าอยากจะเจอทุกคน ด้วยความคิดถึงก็เลยมาเล่น ก็มารื้อฟื้นดูค่ะ ว่าเรายังเล่นได้อยู่หรือเปล่า คำตอบก็คือยังเล่นได้อยู่
แม้จะมีปัญหาด้านสุขภาพแต่ก็สู้ไม่ถอย
ถ้าบอกว่าป่วยเป็นอะไรจะตกใจนะคะ แล้วทุกคนจะช็อกตายจะไม่ยอมจ้างแม่เหน่งให้เล่น (หัวเราะ) เพราะว่าแม่ได้ถามหมอแล้วว่าโรคนี้มันจะทำให้ตายในวันนี้พรุ่งนี้หรือเมื่อไหร่บอกมา หมอบอกว่ามันไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะว่ายาเอาอยู่ แล้วแม่เหน่งก็ดูแลตัวเองดีรักษาสุขภาพดี เป็นโรคคนแก่ เพราะฉะนั้นอย่าตกใจ คนแก่เป็นอะไรแม่ก็เป็นกับเขาหมดทุกอย่าง เป็นเรื่องธรรมดามากเลยไม่ผิดปกติ นอกเสียจากว่าเมื่อเวลาป่วยเราก็หมดแรง พอเราหยุดทำงานแล้วหันไปดูแลตัวเองสุขภาพก็ดีขึ้นตามลำดับ เพราะตอนที่เราทำงานอยู่ก็อาจจะพักผ่อนน้อย ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลตัวเองมากนัก
ช่วงเวลาที่หยุดพัก ดูแลตัวเองอย่างไร
ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เราก็ดูแลเรื่องอาหาร กินยาให้ครบตามที่หมอสั่ง ไปหาหมอตรงเวลาที่หมอนัดแล้วมันดีตรงที่แม่นั่งสมาธิด้วยค่ะ พอทำสมาธิแล้วอยู่คนเดียวเพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่านด้วยวิธีศึกษาธรรม แม่เป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส, หลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพ่อเทียน วัดสนามใน ปฏิบัติธรรมแบบเคลื่อนไหวให้รู้สึกตัวแล้วก็นั่งสมาธิให้จิตนิ่งก็โอเคเลย คือแม่มีอาจารย์เยอะมาก ก็เลยจะไม่สุข ไม่ทุกข์ อยู่กับโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างโอเค เป็นเพื่อนกัน แม่ตายมันก็ตายด้วย (หัวเราะ) แม่ขู่มันไว้แล้ว (ตอนนี้อยู่คนเดียว?)อยู่บ้านคนเดียวค่ะ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน อยู่คนเดียวดีมากตรงที่เราได้ดูจิตตัวเอง ธรรมมีประโยชน์มากค่ะ อ่านหนังสือธรรมเยอะๆ แล้วก็มองโลกให้เห็นชัดเจนในความเป็นจริง เพราะว่าพอเราเห็นชัดเจนแล้วเราจะเกิดความรู้สึกว่า อ๋อโลกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเราไม่เข้มแข็งเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าโลกเดี๋ยวนี้ไม่น่าอยู่ไม่เหมือนแต่ก่อน โลกเปลี่ยนไปน่ากลัวมากขึ้น แต่แม่ก็ยังขับรถไปไหนมาไหนเองได้ เรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับสายตากับโรคที่เป็นอยู่แม่ก็ยังรักษาอยู่ แต่เวลาขับรถก็จะต้องใส่แว่นตา ถ้าไม่ใส่แว่นตาก็จะแย่หน่อย
แอบคิดถึงวงการอยู่ตลอด
แอบคิดถึงอยู่ตลอด แต่ว่าเราก็ต้องคุมจิตตัวเองให้ได้ คิดถึงก็คิดถึงแว่บๆ พอดูในทีวี.เจอคนนั้นคนนี้ก็ชื่นใจ แต่ไม่ได้ทุรนทุรายว่าอยากจะไปเจออยากจะไปกอด ไปหอมคนนั้นคนนี้ก็ได้แค่ชื่นใจ ก็อยากที่จะมาแสดงแต่ว่าถามตัวเองว่าถ้าเรามาแล้วเราทำให้กองถ่ายมีปัญหาในการที่เราเจ็บป่วยขึ้นมา ทำให้กองถ่ายเสียงานแม่ก็จะบอกว่าไม่พร้อม ตอนนี้แม่พร้อมเพราะแม่รู้ว่าแม่แข็งแรงพอ ไม่งั้นแม่สงสารกองถ่าย ถ้าสมมุติว่าแม่มาแล้วมาป่วยหรือแม่ทำงานไม่เต็มร้อยแม่ก็จะหงุดหงิด เพราะปกติแม่เป็นคนที่ทำงานเต็มร้อย แต่ด้วยวัยแม่ก็ 74 แล้วอาจจะมีพร่องแพร่งบ้างนิดหน่อยก็ให้อภัยเพราะแก่แล้ว แต่เรื่องความจำตอนแรกก็นึกว่าจะจำบทไม่ได้นะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็จำได้ กลับมาเหมือนเดิม การลืมมันก็มีบ้างเป็นธรรมดา
ใช้ธรรมนำทาง
ถ้าจะถามว่าเหงาหรือไม่เหงา แม่เฉย เพราะว่าเราปฏิบัติธรรมจนจิตนิ่งแล้ว แม่ก็จะเฉยไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ทุรนทุราย สุขรู้ว่าสุข ทุกข์รู้ว่าทุกข์ ธรรมเป็นสิ่งที่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ยึด ไม่ใช่แนะนำนะคะ แต่ว่ามันได้กับตัวแม่เอง ถ้าใครสามารถที่จะเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าได้อันนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันภัยให้ตัวเองอย่างดี และจะเป็นสิ่งที่เป็นยารักษาใจอย่างดี จะทุกข์จะสุขให้มองโลกด้วยหลักความเป็นจริงว่า อ๋อนี่มันเป็นอย่างนี้แล้วก็แก้ปัญหาไป ให้นึกว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่าไปยึดติดกับอะไร
ผลงานที่ฝากไว้ก่อนจะหยุดพัก
เรื่องสุดท้ายเล่นตั้ง 3 เรื่อง (ความจำยังเป๊ะจริงๆ) ก็มี เคหาสน์สีแดง ของ ตู่-นพพล แล้วก็มี วนาลี ของ ตู่-ปิยวดี และอีกเรื่องหนึ่งคือ มาลัยสามชายของเอ็กแซ็กท์ ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ถ่ายทำพร้อมๆ กันพอจบก็ไม่รับงานอะไรอีกเลย ประกาศเลยว่างดรับงาน เพราะว่าเราต้องไปรับภาระสามี คือเราอยู่กันสองคนตายาย เลยต้องประกาศหยุด แล้วทีแรกเลยก่อนที่จะมาเล่นเรื่องอกธรณี ทางโพลีพลัส คุณนิด-อรพรรณ ก็ตามให้มาเล่นเรื่องมายา ของช่อง 7 บทดีมาก เล่นตั้งแต่ต้นจนจบก็รับเล่นให้ แต่ว่าวันจะถ่ายเกิดต่อมไทรอยเป็นพิษ หมดแรงไม่มีแรงไปไม่ได้ ก็ต้องขอโทษทางบริษัทโพลีพลัส เพราะว่าหมอห้ามเนื่องจากว่ามันเชื่อมโยงไปถึงโรคที่เราเป็นอยู่ ความดัน หัวใจอะไรต่างๆ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องหยุดไว้ก่อน ไม่ได้ปฏิเสธนะคะ บอกว่าเล่นแต่ว่าให้ทางบริษัทตัดสินใจว่าจะเอาคนป่วยไปเล่นไหม ถ้าไปป่วยระหว่างทางทำให้ละครชะงักหรือเกิดไปตายละครต้องเปลี่ยนตัว พูดตรงไปตรงมาเลย เขาก็น่ารักมากบอกว่าขอให้แม่เหน่งดูแลสุขภาพของตัวเองก่อนดีกว่า ไว้เรื่องหน้าค่อยว่ากัน คือแม่จะเป็นคนไม่พูดโกหก เป็นคนตรงไปตรงมา แม่เป็นคนทำงานเต็มร้อยพอรู้ว่าตัวเองไม่ไหวก็ต้องบอก
ย้อนวันวานชีวิตทางการแสดง
แม่เกิดในวงการนี้จากการเล่นหนังค่ะ เล่นหนังประมาณเกือบพันเรื่อง เล่นละครพันกว่าเรื่อง ตอบได้เลยเพราะว่าจดไว้ ด้วยความที่เราเล่นเราไม่เลือกบทไงคะ เล่นเพราะว่าสนุกในการเล่นอยากเล่น คือมันมีพลังและมีแรงกระตุ้นที่พอเราเป็นศิลปินเราเป็นนักแสดงเล่นตัวอะไรก็ได้ เป็นคุณนายก็ได้ เป็นคุณหญิงคนใช้ เป็นขี้ข้าก็ได้ เป็นคนแก่หรือว่าจะอาชีพไหนก็ได้หมดไม่เคยยึดติดว่าจะต้องเล่นบทนี้เท่านั้น คือเขาจ้างให้เงินเล่นหมดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้เห็นแก่เงินเกินไปหรือเปล่า (หัวเราะ) งกไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ว่ามันมันในอารมณ์จริงๆนะลูก มันสนุกในการแสดง (ปีหนึ่งๆ แทบไม่มีวันพัก) ปีหนึ่งมี 365 วัน แม่น่าจะเล่นสักเกือบสี่ร้อยวันมั่งต่อปี เพราะว่าวันหนึ่งมัน 3-4 เรื่อง (วิ่งยังไงคะ) ตอบไม่ถูกเหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นรถไม่ติดเท่าสมัยนี้มันวิ่งได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เรื่องเดียวก็หมดเวลาแล้ว
บทบาทที่ชอบและเป็นตัวตนของ เมตตา รุ่งรัตน์
ชอบบทที่สนุกสนานนะคะ แล้วก็ชอบบทผู้ร้ายเพราะว่ามันมันในอารมณ์ เกลียดที่สุดคือบทร้องไห้ ร้องไม่ค่อยออก ไม่งั้นต้องใช้ยาหยอดตา เวลาที่เล่นหนังแม่เล่นบทบู๊ขี่ม้ายิงปืนต่อสู้ แต่พอเป็นละครก็จะเป็นบทด่าว่ากันแม่ก็เล่นได้ เล่นเป็นคนดีเป็นคนใจร้ายแม่ก็เล่นได้หมด ก็เลยไม่ตกงานค่ะ
ผลงานที่ภาคภูมิใจ
ได้รางวัลตอนเป็นนางเอกเรื่องวัยรุ่นวัยคะนอง เป็นหนังเรื่องที่ 3 ที่เล่นค่ะ เรื่องแรกเด็ดดอกฟ้า เล่นเป็นบทเจ้าน้ำตา เรื่องที่ 2 เล่นบทร้ายเรื่องจอมใจเวียงฟ้าร้ายขนาดเข้าไปดูในโรงแล้วคนเขาด่า เราต้องรีบออกมาจากโรงหนังเลย เพราะว่ากลัวคนจะตามมาตื้บเอา เรื่องที่ 3 วัยรุ่นวัยคะนอง เป็นนางเอกแล้วก็ได้ตุ๊กตาทองส่วนละครก็ชอบทุกบทเลยค่ะ เพราะว่าแม่เล่นเต็มที่ทุกบท แล้วบทจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลากหลาย แม่เป็นคนชอบสนุกก็เลยเอ็นจอยทุกเรื่อง แล้วแม่ก็จะได้เล่นกับพระเอกทุกคนในยุคนั้นสับเปลี่ยนกันไป ในวงการนี้ไม่มีใครไม่เคยผ่านมือแม่
แรงผลักดันในการแสดง
แม่คงมีเลือดศิลปินเพราะพ่ออยู่ในวงการ เป็นผู้กำกับบทตั้งแต่ละครเวที สมัยคุณสุพรรณ บูรณะพิมพ์ คุณ ส.อาสนจินดา คุณพันคำ ละครที่เขาเล่นสดละครเวทีแล้วแม่ก็จบเฉลิมศาสตร์นาฏศิลป์ คือจบการแสดง คุณพ่อก็สนับสนุน แต่ว่าคุณพ่อไม่ได้นำเข้า พ่อแค่ตามใจลูก แม่ก็เป็นครู พอเรียนจบก็ตามแม่ออกมาเป็นครูแล้ว อาชาลี อินทรวิจิตร กับป้าศรินทิพย์ ศิริวรรณ เป็นคนไปดึงแม่มาเล่นหนัง เขาเห็นแม่ไปตีปิงปองอยู่ที่ช่อง 4 บางขุนพรม แล้วก็ไปชวนมาเล่น โดยที่ไม่รู้ว่าเราเป็นลูกใคร แม่บอกว่าต้องไปขออนุญาตก่อนพ่อชื่อ บุญส่ง ดวงดารา พ่อก็อนุญาตคือตามใจเรา เพราะว่าชีวิตเราเป็นของเรา เขาชวนมาเล่นก็มา เลยต้องลาออกจากการเป็นครูแล้วก็มาเล่นหนัง (เสียดายอาชีพครูไหม) ไม่เสียดายเพราะว่าแม่เป็นคนไม่ยึดติดกับอะไรมาตั้งแต่เด็ก
ถือเป็นสิ่งที่ฝันหรือคิดว่าจะยึดเป็นอาชีพหรือเปล่า
ไม่เลยค่ะ เพราะว่าแม่ถือว่าจ้างแม่ แม่ก็เล่น เราเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ว่าอู๊ย...เป็นอาชีพที่ฉันใฝ่ฝันแล้วฉันต้องเล่น แม่เล่นเพราะว่าได้เงิน ใครจ้างก็ทำ หรือว่าเรามีความสามารถไหนเราก็จะทำสิ่งนั้น มันเป็นจริตของแม่เอง ไม่ได้ยึดติดอะไรเลยตั้งแต่เด็ก เพราะความไม่ยึดติดที่ว่าฉันจะต้องเล่นกับคนนั้นคนนี้เท่านั้น ก็เลยทำให้แม่ได้ร่วมงานกับผู้จัดหลายๆ ค่าย และทุกช่องแม่เป็นคนสบายมากๆ เอาไงก็เอากัน ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองเราแบบไหน แต่แม่เชื่อว่าในวงการทุกคนรักแม่ ทุกคนเอ็นดูแม่ และแม่ก็รักทุกคน แม่ไม่เคยทะเลาะตบตีกับใครไม่เคยด่าใครแล้วก็ไม่เคยโดนใครด่า
มุมมองวงการบันเทิงสมัยก่อนกับปัจจุบัน
แตกต่างกันเยอะเลยค่ะ เพราะว่าคนเยอะ เยอะเหลือเกินจนแม่ไม่รู้จัก เดินชนกันยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วมันแตกต่างตรงที่ว่าเมื่อก่อนนักแสดงมีกระจุกเดียว ผู้สร้างก็มีกระจุกเดียว ตอนนี้ผู้สร้างเยอะมากนักแสดงเยอะมาก แล้วความสัมพันธ์น้อย แต่ก่อนเจอกันก็กอดหอมกันเหมือนว่ากินนอนอยู่ด้วยกันกินข้าวหม้อเดียวกัน แล้วก็มันเหมือนมีกลุ่มเดียวก็เป็นความสัมพันธ์ที่แน่หนามาก แต่ว่าสมัยนี้มันเป็นฉาบฉวยไปแล้ว พอจากกันก็ตัวใครตัวมัน เราจะมาเจอกันก็ต่อเมื่อมาเล่นมาแสดงละครแล้วก็จากกันไป บางทีเจอหน้ากันวันหลังก็จำกันไม่ได้ แม่ไม่มีแง่คิดดีๆ อะไรจะฝากนะคะ เพียงแต่แม่ก็ทำตัวของแม่ให้ดีให้ตรงต่อเวลา มีวินัยในการแสดง และรับผิดชอบกับงานที่เราทำ แม่ถึงไม่ตกงาน แค่นี้ก็อยู่รอดแล้วค่ะแล้วอย่าไปคิดว่าตัวเองเป็นดารา แม่ไม่เคยคิดค่ะแม่จะคิดว่าแม่เป็นลูกจ้าง รับจ้างแสดง พอเขาจ้างมาแสดงแม่ก็มาเล่น มีแค่นี้ค่ะ แต่อยากจะฝากขอบคุณแฟนๆ แฟนคลับทั้งหลายนะคะว่าที่แม่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะว่ามีแฟนๆ ที่รักและเมตตากับแม่ แม่ถือว่าเป็นบุญคุณเลย แม่ตอบแทนด้วยที่ว่าแม่แสดงเต็มที่ให้คนดูดูแล้วมีความสุขดูแล้วชื่นใจ แล้วผลสะท้อนกลับมาก็คือแม่ก็มีความสุขแม่ก็ชื่นใจ ไปไหนมีคนทักจำได้ว่าเป็นเมตตา อันนี้แม่เรียกว่าเป็นสิ่งที่จรรโลงโลกและจรรโลงใจ เป็นความรู้สึกที่ดีๆ เป็นความรู้สึกที่งดงามที่คนพึงมีต่อกัน
และนี่ก็คือ “เมตตา รุ่งรัตน์” นักแสดงอาวุโสขวัญใจชาวไทยเจ้าของ ฉายา “ไข่มุกดำแห่งเอเชีย”
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี