แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 40 ปี แล้วแต่เชื่อว่าหลายคนคงจำเพลงดังอย่าง สุขาอยู่หนใด, เธอที่รักชูวับ ชูวับ กับเสียงร้องของผู้ชายคนนี้ได้เป็นอย่างดีโอ-ชัยรัตน์ เทียบเทียม นักร้องหนุ่มหล่อเสียงดีผู้มีเอกลักษณ์กับกีตาร์โปร่งคู่ใจ เรียกว่าน้อยคนนักจะรู้เรื่องราวชีวิตของโอ เพราะที่ผ่านมาโอไม่ค่อยเปิดเผยชีวิตต่อสาธารณะเท่าไหร่ ฉะนั้นวันนี้ สตาร์เรโทร มีโอกาสเจอตัวจึงขออัพเดทชีวิตทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมไปถึงโปรเจกท์์ใหม่ของเขามาให้แฟนเพลงได้หายคิดถึงกัน รับรองมีเซอร์ไพรส์หลายเรื่อง!!
จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงยุคแรกๆ
ผมเป็นนักเรียนช่างกล จบช่างยนต์มา กะว่าจะไปทำงานเกี่ยวกับช่างยนต์ แต่ไปๆ มาๆ เพื่อนก็ชวนไปร้องเพลง เพราะบังเอิญว่าผมเล่นกีตาร์ได้ด้วย เลยไปร้องเพลง แล้วเผอิญคุณเอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร ซึ่งเขาได้มาเล่นภาพยนตร์กับพี่เปี๊ยก โปสเตอร์ เรื่องวัยอลวน เลยดึงผมไปร้องเพลงในภาพยนตร์ ผมก็ไปทำเพลงให้เขา ร้องเพลงให้เขา ไม่ได้คิดว่าเพลงจะโด่งดังอะไร ทำเล่นๆ เพลงนั้นคือ สุขาอยู่หนใด และ เพลง น่ารัก ปรากฏว่าหนังดัง เพลงดัง ก็เลยทำภาค 2 เรื่อง รักอุตลุด ก็เขียนเพลงให้เขาสามเพลง ชูวับๆ แล้วก็เพลง รักน้อรักไม่จริง แล้วก็ทำเพลง ระทมรัก ปรากฏว่าดังเปรี้ยงทั้ง 3 เพลงเลยกลายเป็นนักร้องไม่รู้ตัว ชีวิตเราเปลี่ยนไปเลยคราวนี้จากการที่ตั้งใจจะเป็นช่าง กลายเป็นนักร้อง (หัวเราะ)ก็เลยมาสายดนตรียาวเลย ทำอัลบั้ม ร้องเพลงมาเรื่อยๆ
อัลบั้มแรกในชีวิต
ชื่อว่าชุด ยับ (ยับในทรวงเขาลวงอก) เพลงแจ้งเกิดก็เป็นเพลงจากภาพยนตร์ซึ่งเขาเอาไปรวมเป็นอัลบั้มเพลงจากภาพยนตร์ อย่างเช่น เพลงสุขาอยู่หนใดเธอที่รัก ชูวับๆ เพลงยักษ์ ก็เป็นเพลงที่ทุกคนรู้จักหมดในตอนนั้น และดังมาก อัลบั้มต่างๆ ก็มีทั้งรวมเพลงภาพยนตร์ ละคร แล้วก็มีอัลบั้มชุดชัยรัตน์ 80 แล้วก็ชุด มหา’ลัยเดียวกัน มีออกมาประมาณ 10 ชุด เล่นดนตรีไปเรื่อยๆ อยู่ในวงการเพลงมาเกือบ 30 ปี เริ่มรู้สึกเบื่อเลยไปทำงาน ขายบ้าน ขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์เปิดบริษัทขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานอยู่ประมาณ 3-4 ปี ได้กำไรบ้าง ขาดทุน เจ๊งบ้าง ก็ถือว่าเราได้ประสบการณ์ พอเรารู้แล้วว่าจะต้องทำยังไงแบบไหนก็เลยมาจับธุรกิจเปิดพื้นที่ให้เช่า ตอนแรกไปขายของท้ายรถก่อน เพื่อเก็บความรู้ทดลองแนวทาง ซึ่งก็เห็นผลและทำให้เราคิดว่าจะต้องทำยังไงต่อไป เพื่อขยาย ได้ไอเดียตอนไปทำกับซีคอนสแควร์ (อาชีพหลักในปัจจุบัน?) ทำอพาร์ตเม้นท์ให้เช่าครับ คือก็เหมือนเราซื้อมาขายไป ตอนนี้กำลังทำกันอยู่ เพิ่งขายที่หลักสี่ไป แล้วไปซื้อที่ปากน้ำมีประมาณไม่ถึง 100 ห้อง คือผมเป็นคนเมเนจฯเป็นธุรกิจครอบครัว มีลูกน้องดูแลครับ
ช่วงชีวิตที่ดังเปรี้ยงสุดๆ
ปีพ.ศ.2520 เพราะภาพยนตร์ฉายปี พ.ศ. 2519 พอปี พ.ศ.2520 ก็เลยเป็นปีของเรา ดังที่สุดเลย ในประเทศไม่มีใครไม่รู้จักเพลงสุขาอยู่หนใด เพราะว่าภาพยนตร์ฉายทั่วประเทศ วิทยุก็เปิดโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เขาเอาแผ่นไปเปิดทั่วประเทศและเปิดเป็นเดือนๆ ช่วงนั้นออกทีวีถี่มาก อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง พอวัยอลวนจบ ก็ทำ รักอุตลุด ขึ้นมา เรื่องนี้ยิ่งดังเปรี้ยงขึ้นไปอีก ออกทีวีถี่มาก คนก็จำได้ว่านี่คือ ชัยรัตน์ เทียบเทียมพีคสุดช่วงนั้นครับ
ดังปุ๊บชีวิตเปลี่ยน
จากที่ไปไหนไม่มีใครรู้จักคนก็รู้จักมากขึ้น คนให้เกียรติเรามากขึ้นเพราะเราก็เป็นศิลปินที่ดัง คือตอนนั้นโอ้โหได้ไปทั่วประเทศเลย ได้ไปเที่ยว ร้องเพลงสนุกสนานมาก เจอแฟนเพลงตลอดเวลา ถือเป็นกำไรชีวิตมากๆได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็จะมีความสุขมากเลยนะ ผมไปทั่วทุกจังหวัด สนุกมาก คนอื่นอาจจะทำไม่ได้แบบเรายกตัวอย่างนักร้องสมัยนี้ก็ไม่สามารถที่จะมานั่งร้องเพลงให้คุณฟังในทุกๆ วันได้เพราะเวลาที่เขาดังแล้ว ก็จะมีเฉพาะเวลาที่เป็นโชว์พิเศษ เป็นคอนเสิร์ต อาจจะเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง ไม่โชว์บ่อย แต่สมัยก่อนเราไปทุกอาทิตย์ ทุกเดือน ตะลอนๆ
เริ่มเล่นหนัง เล่นละคร
ละครเรื่องแรกที่เล่น เล่นกับทางช่อง 3 เรื่อง ดงมนุษย์ ทองประกายแสด คลื่นเสน่หา คนเริงเมือง แล้วก็ไปเล่นที่ช่อง 9 นิดหน่อยแล้วก็หยุดไป มีเล่นหนังเรื่อง นักรักรุ่นกระเตาะ เพลงรักเพื่อเธอ นางฟ้าท่าเรือ ซึ่งก็อาศัยว่าเราร้องเพลงได้ก็ร้องเพลงประกอบหนังไปด้วย เล่นหนังร้องเพลงอยู่ในวงการเกือบ 40 กว่าปี แต่พอหลังๆ เริ่มอยู่เบื้องหลัง เช่น เขียนเพลง แต่ไม่ค่อยร้องเพลง
มีเลือดศิลปินอยู่เต็มเปี่ยม
คุณแม่ผมเป็นนางละครเก่าครับ พอมีสายเลือดศิลปิน เราก็ชอบร้องเพลงสากล เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะฝังหูมาโดยตลอด แบบที่เราไม่ได้ซ้อม พอมาวันหนึ่งที่เราจะต้องมาร้องเพลงพวกนี้ก็เลยร้องได้เลย แม่ก็เป็นศิลปินอยู่แล้ว ส่วนคุณพ่อเป็นทหารเรือ เอาจริงๆ นะเขาก็เหมือนหล่อหลอมให้เราอยู่ในแวดวงตรงนี้ แต่ในบ้านไม่ค่อยมีใครฟังเพลงนะนอกจากผมคนเดียว ผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนโตมีน้องชาย 1 คน และน้องสาวอีก 2 คน และน้องสาวคนที่สามเป็นคนที่ร้องเพลง รักหนอรัก (สภาภรณ์เทียบเทียม) ในภาพยนตร์เรื่อง รักอุตลุด
ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตล่าสุด
เป็นคอนเสิร์ตของมูลนิธิของฟ้าหญิงอุบลรัตน์ คอนเสิร์ตการกุศล ผมก็จะเป็นเจ้าประจำแหละ คือเวลามีคอนเสิร์ตอะไรแบบนี้ผู้ใหญ่ก็จะเรียกเรา เพราะว่าโชคดีอีกอย่างคือ ผมร้องเพลงลูกกรุงเป็น ซึ่งจริงๆ ผมร้องเพลงเป็นทุกแนวนะ ลูกทุ่ง สตริง สากล ตอนเด็กๆ ร้องเพลงสากลนั่นคือจุดเริ่มต้น ผมร้องเพลงสากลมาก่อน เพลงเดอะ บีทเทิลส์, เอลวิส เพรสลีย์ แล้วก็ร้องมาตั้งแต่ยุคซิกตี้เลย เราก็โตขึ้นมาพร้อมกับแวดวงตรงนี้ มีเพื่อนไปร้องเพลงก็ขึ้นไปร้องแจมกับเขา เพลงยุคซิกตี้ ก็เลยชอบ แล้วตอนหลังมาร้องเพลงไทยซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าจะมาร้องเพลงไทย เพราะก่อนที่จะมาร้องเพลงในวัยอลวนก็ยังร้องเพลงสากลมาตลอด เล่นในผับ บาร์ ร้องสากลตลอด
ตัดสินใจเลิกร้องเพลงประจำ
ประมาณ 10 กว่าปีแล้วครับ คือไม่ร้องประจำเลย เมื่อก่อนจะมีร้องตามคาเฟ่ ผับ โรงแรมต่างๆก็จะร้องตลอด ตอนหลังมาคิดได้ว่าเออถ้าเราจะมาร้องแบบนี้ตลอดไปไม่ได้แล้วล่ะ คลื่นลูกเก่ากำลังโรยราไป คลื่นลูกใหม่กำลังมา จะเห็นว่ามีนักดนตรีวัยรุ่นเยอะแยะเต็มไปหมดเลยที่ขึ้นมา ก็เลยถอยและคิดว่าเราไปทำธุรกิจอย่างอื่นดีกว่า ซึ่งจริงๆ ผมทำธุรกิจมาตลอดนะในช่วงเวลาที่ผ่านมา 20-30 ปี ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ ขายพื้นที่ให้เช่าทำมาประมาณ 10 กว่าปี คือตอนนั้นก็ทำควบคู่กันไปกับการร้องเพลงทำเพลง แต่เราไม่ได้คิดว่าจะขายเป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็จะทำอะไรที่เกี่ยวกับการซื้อ-ขายแบบนี้ตลอดเวลา ผมทำมาตั้งแต่คลองถมซีคอนฯ สมัยก่อนโน้น10 กว่าปีที่แล้ว มาทำที่พาราไดร์ เสรีเซ็นเตอร์เก่ามีที่มาบุญครองด้วยซึ่งก็ทำมาประมาณ 10 กว่าปีเพิ่งเลิกไปเมื่อสองปีกว่านี่เอง ส่วนตอนนี้ทำที่เมกบางนาทำเล็กๆ ครับ พื้นที่ให้เช่า สินค้าก็จะเป็นไทยๆ ทำเล่นๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร
ล้มลุกคลุกคลาน ธุรกิจเจ๊ง
เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วผมมีชีวิตที่ตกต่ำคือหมายความว่าเราทำบริษัทตอนนั้นเลิกร้องเพลงพอเลิกก็ทำบริษัทอสังหาริมทรัพย์ปรากฏว่าเจ๊ง ทำไปกี่บริษัทก็เจ๊งหมด เหมือนกับว่าเป็นช่วงดาวน์ของเราจริงๆ นะ เพราะเราก็มีช่วงดังสูงสุดมาแล้ว ตอนมีชื่อเสียงแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ต่ำลงมาเรื่อยๆผมคิดว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ก็ตกต่ำอยู่ช่วงหนึ่งเราก็ต้องทำใจ ตอนนั้นสารพัดทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ค่าอะไรต่างๆ นานา ที่ต้องผ่อนเกิดวิกฤติ แต่เราก็มาฟื้นเพราะเราสู้ แฟนก็สู้ด้วย เราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา มาฟื้นคืนชีพก็ตอนปีพ.ศ.2540 จากการทำพื้นที่ให้เช่า คือกลับกลายเป็นว่าช่วงที่เขาวิกฤติกัน เรามาโผล่ตรงนั้นพอดีเลยจำได้เลยช่วงนั้นเราสวนทางกับคนอื่น จนถึงตอนนี้ก็สบายแล้ว แต่พอเราย้อนคิดไปในอดีตก็ยังแปลกใจนะว่าเราผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไง เอ๊ะเรามาถึงตรงนี้วันนี้ได้ยังไง (หัวเราะ) กว่าจะฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลากว่า 10 ปีไม่ง่ายเหมือนกันครับ
ยาวิเศษยามเหนื่อยท้อเจอปัญหา
ผมเป็นคนชอบทำบุญ ชอบสวดมนต์ คือเราจะตกต่ำหรือดีอะไรก็ตามเราจะไม่ทิ้งตรงนี้ เราจะทำบุญมาตลอดตั้งแต่เราไม่มีอะไร มีน้อยทำน้อย แล้วก็สวดมนต์ตรงนั้นแหละที่ทำให้เรามีปัญญา เพราะเหมือนเวลาที่พอเราจะตกก็จะมีคนช้อนเราขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีมากมาย แต่ก็ทำให้เรามีกำลังใจที่จะสู้ ยายผมเป็นคนที่ถือศีลมากๆ สวดมนต์ทุกวัน ไปวัดก็จะพาผมไปด้วย ก็จะซึมซับตรงนี้ พอโตพอเจอปัญหาหรือวิกฤติก็จะนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ ถึงแม้จะไม่ได้มากมายอะไรก็แค่ขอให้ใจเรานิ่งสักแป๊บทำให้เรามีปัญญาให้เราสู้กับปัญหา
ครอบครัวสุดที่รัก
ผมมีความสุขที่ได้มีครอบครัวในแบบวันนี้เพราะทำให้เราอยู่ในกรอบของการได้ดูแลชีวิตและใช้ชีวิตได้อย่างประชาชนทั่วไป คือผมไม่ได้คิดว่าการที่ผมมีครอบครัวจะทำให้ผมต้องถูกลดทอนความสุขของชีวิตไป เวลาผมมีงานเขาก็ให้โอกาสผม ไปไหนก็ได้ เป็นครอบครัวที่เราเข้าใจกัน
ลูกชายเลือดศิลปิน
เรียกว่าเจริญรอยตามผมเลยครับ เป็นนักดนตรี จริงๆ แล้วเขาจบที่มหาวิทยาลัยมหิดล ด้านดนตรี คือตั้งแต่เขาเกิดมาก็จะเปิดเพลงให้เขาฟังตลอด เพลงแจ๊ส คลาสสิก ทุกแนว เลี้ยงเขาด้วยเพลงจริงๆ (หัวเราะ) เวลาขับรถไปส่งตอนเด็กๆ ก็เปิดเพลงให้ฟังเขาก็จะซึมซับไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเขาก็ชอบเพลงโดยที่เราไม่ต้องบอกว่าให้ชอบแนวนี้หรือแนวไหน เขาก็ชอบเข้าสายเลือดและเขาก็เลยมุ่งมั่นว่าอยากจะเล่นดนตรี ก็ให้เล่นและส่งเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หาครูเก่งๆ มาสอนทั้งครูไทยครูฝรั่ง พอเล่นได้ เขาก็ดีใจ จนปัจจุบันนี้เขายึดอาชีพนี้หากินเลย คือเล่น เปียโน เขาจะเล่นเดี่ยวคนเดียวที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ แล้วก็โรงแรมเชอราตัน สลับเปลี่ยนกันทุกวันให้แขกฝรั่งฟังเวลาเขาเล่นดนตรีได้แบบนี้คนเป็นพ่อก็มีความสุขมากๆ ครับ เห็นแล้วก็ดีใจด้วยที่เขามีความสุขกับการเล่นดนตรี แต่ไม่ค่อยได้ไปดูเขาเล่นนะเพราะเขาจะเขิน ก็เลยจะปล่อยให้เขาเล่นเป็นตัวของตัวเอง มีแอบไปดูบ้างเป็นครั้งคราว (หัวเราะ)
บั้นปลายชีวิต
ก็คงจะดำเนินชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ คือเราได้มีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวที่ดี แล้วก็ไปเที่ยวตามต่างจังหวัดที่เราอยากไปแค่นั้นแหละ
บนถนนสายเสียงเพลงให้อะไรบ้าง
ประสบการณ์ชีวิต เพราะเป็นชีวิตจริงๆ ที่เราไปเจอมามีทั้งสุข สมหวัง ทุกข์ก็มี เหมือนกับละชีวิตทั่วๆ ไป แต่อันนี้คือประสบการณ์จริง ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่าชีวิตของเราที่ผ่านมานะเป็นยังไง แต่ของผมถือว่าโชคดีมากที่เจอแต่คนดีๆ เจอเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร แฟนเพลงที่น่ารัก ผิดหวังนี่แทบจะไม่มีเลย เพราะอีกอย่างหนึ่งเราเป็นคนที่แบบว่าอะไรก็ได้ ทนได้ทุกอย่าง สบายๆ ชิลล์ๆ เจอใครก็สนุกสนาน คิดบวก แล้วก็คิดว่าชีวิตนี้เราโชคดีนะที่เราได้เดินมาบนถนนสายบันเทิง เราได้ร้องเพลงให้คนฟัง แล้วคนฟังเขาก็มีความสุขกับเรา แค่นี้แหละเราพอใจแล้ว
หวนกลับมาจับงานเพลงอีกครั้ง
กำลังคิดว่าจะเอาเพลงเก่าๆ ที่เราคิดว่ายังไพเราะอยู่เอามาเปลี่ยนดนตรี แล้วก็มีเพลงใหม่เสริมเข้าไปบ้าง ซึ่งเป็นเพลงที่เราเขียนให้กับนักร้องคนอื่น เอากลับมาร้องเอง คือเหมือนจะทำเป็นรวมอัลบั้มพิเศษขึ้นมา ร้องคนเดียวและอาจจะมีเกสต์ที่เป็นเพื่อนๆ กันมาแจมบ้าง ก็ทำขึ้นเพื่อไม่ให้เหงา ทำให้กับแฟนๆ ที่คิดถึง ส่วนคอนเสิร์ตก็มีเรื่อยๆ ครับ แล้วแต่ใครจะเชิญไปร้องไปขึ้นเวทีอะไรต่างๆ นานา ไปได้หมดครับ ถ้าติดต่อเข้ามายินดีมากๆ ครับ ตามผับมีคนติดต่อให้ไปร้องประจำก็มีเยอะแยะเลย แต่ผมไม่รับ เพราะผมไม่ได้ต้องการว่าจะต้องไปร้องเพลงหาเงินแล้ว คือพูดง่ายๆ ว่าชีวิตเราก็ไม่ได้เดือดร้อน ถ้ามีคนชวนไปเล่นฟรีผมก็ไปนะ ขอให้มีใจอยาก แต่ตอนนี้ยังไม่มีใจอยากไง อยากทำอย่างอื่นก่อนตอนนี้ถามว่ามีไหมก็มีแต่ไม่มากมายอะไร เพราะเราก็เลยจุดอิ่มมาแล้ว
กิจกรรมยามว่างที่หลงใหล
ตีกอล์ฟ ครับ มีเพื่อนๆ ที่เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงนักดนตรี เล่นกอล์ฟด้วย ก็ไปเล่นไปตีด้วยกันเหมือนเป็นอีกหนึ่งกีฬาทางเลือกให้เรามีกิจกรรมทำ เพลงก็ร้องบ้าง ไม่ร้องบ้าง
สุขภาพร่างกายในวัย 62
ตอนนี้รักษาสุขภาพอย่างสุดๆ ตื่นเช้ามาก็ดื่มน้ำผัก ผลไม้ปั่นทุกวัน เอ็กเซอร์ไซส์ ควบคุมเรื่องอาหารการกิน เราจะไม่กินอะไรที่ไม่มีประโยชน์กับร่างกายทานผัก ปลา เพื่อให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ เข้าไป เพราะปกติก็เป็นคนที่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้วถ้ามีเวลาโรคภัยไข้เจ็บก็มีแค่ไขมันในเส้นเลือดเป็นเพราะอาหารก็พยายามควบคุมอยู่
หลักในการดำเนินชีวิต
เราพยายามอย่าประมาท ผมกลัวที่สุดก็คือ กลัวความจน เพราะว่าเราเคยจนมาแล้ว เรากลัวว่าเราจะกลับไปเหมือนเดิม เพราะว่าเวลาที่เราได้เงินมาก็จะพยายามเก็บเป็นสัดส่วน เก็บ ช่วยเหลือสังคมทำบุญ คือทุกเดือนจะต้องไปทำบุญหนึ่งครั้งตรงป่อเต็กตึ๊ง บริจาคเงินซื้อข้าวสาร ซื้อโรงศพ ทำมาตั้งแต่ 30-40 ปีแล้วนะตั้งแต่ผมไม่มีอะไรเลยเพราะผมก็อยากช่วยเขา โอเคเรามีน้อยช่วยน้อย
คำแนะนำจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องศิลปินสมัยใหม่
อยากให้ทำตัวอย่าไปหวือหวามากนัก วงการนี้มาแล้วดับเร็วนะ ถ้าเราทำตัวดีอยู่ในศีลในธรรมอยู่ในกรอบที่ดีก็จะทำให้เราอยู่ได้นาน และอย่ามัวเมาในอบายมุขทั้งหลาย อันนี้สำคัญทั้งเรื่องยาเสพติดเรื่องผู้หญิง พยายามให้พอดีๆ อย่าไปล้ำเส้นใครเขาให้ดูรุ่นพี่ที่อยู่นานๆ อย่างผมก็จะดูรุ่นพี่ก็คือ พี่ต้อย- เศรษฐา ศิระฉายา คนนี้เขาเป็นไอดอลผมตั้งแต่ผมเป็นนักเรียนเลยนะ เขาทำตัวให้คนเคารพดีมาก มีโอกาสก็ช่วยเหลือน้องๆ ที่ตกต่ำ
ผลงานใหม่เร็วๆ นี้ได้ดูแน่นอน
เป็นรายการเกี่ยวกับการตีกอล์ฟ ชื่อว่า Hole In One ออนแอร์ประมาณเดือนตุลาคมนี้ ทางช่องอัมรินทร์ทีวี วันอาทิตย์ เวลาประมาณ 23.00 น.ทำร่วมกับน้องคนที่รู้จักในรายการเขาชวนไปทำ เราก็เป็นคนชอบตีกอล์ฟด้วยก็เลยตกลงทำ ด้านผลงานเพลงเดี๋ยวผมจะทำเพลงสักชุดหนึ่งออกมาเร็วๆ นี้แหละ กำลังรวบรวมเพลง พยายามทำอยู่นะครับ อาจจะมีทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ผสมกัน ส่วนละครถ้ามีติดต่อให้ไปเล่นก็รับครับ เพราะคำว่าศิลปินในตัวเรานี่ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
อีกไม่นานเกินรอ เราคงได้ฟังเพลงเพราะๆ ที่หายากทั้งเพลงเก่าเพลงใหม่จากเสียงต้นฉบับจริงๆ กันแบบเต็มอิ่ม แต่ในระหว่างที่รอผลงานเพลง หันไปดูโอตีกอล์ฟทางช่องอัมรินทร์ทีวีกันไปพลางๆ นะจ๊ะแฟนจ๋า
ใบพร้าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี