นับเป็นแบรนด์เล็กแต่ไม่ทำธรรมดา ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจแปรงสีฟันมาแล้วกว่า 9 ปี สำหรับแบรนด์ “BRUSH ME”(บลัชมี) นับเป็นแบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นและเติบโตมาจากต่างจังหวัด แต่สำหรับตลาดในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯและปริมณฑล แปรงสีฟัน BRUSH ME นับว่าเป็นน้องใหม่ ดังนั้น คุณแต๊ก-วรวัฒน์ เล้าอารยะรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เล้าอารีย์ เทรดดิ้ง จำกัด จึงขอผุดไอเดียสร้าง Awareness กับคนเมือง เดินเครื่องลงทุนทำหนังโฆษณาชุด “ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง (Changing)”
พร้อม MV เพลง “คนที่ฉันรอ (CHANGING)” โดยได้ร่วมกับค่ายเพลง SRPLABEL คว้าศิลปินมากความสามารถวง BLUESHADE มาร่วมแต่งเพลงโฆษณาชุดนี้ให้และปล่อยหนังโฆษณาพร้อมกับ MV ในช่องทางออนไลน์ จนทำให้กระแสตอบรับดีเกินคาดเพราะเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ยอดการรับชม MV ใน Youtube ก็พุ่งเกินล้าน ล่าสุด “บันเทิงแนวหน้าวาไรตี้” ได้รับเกียรติจาก คุณแต๊ก- วรวัฒน์ พูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จก้าวแรกของหนังโฆษณาชุด “ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง (Changing)” ให้ฟังว่า
การทำหนังโฆษณาแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับ BRUSH ME เราได้ลองสิ่งที่เราไม่เคยทำ เพราะปกติเราทำการตลาดแค่แบบB2B จะมีสื่อโฆษณาก็เพียงแค่ ณ จุดขายเท่านั้นเคยลองทำสื่อโฆษณาทางออนไลน์เมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ไม่ได้โปรโมทมากนัก แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นความตั้งใจในทำการตลาดแบบ B2C อย่างเป็นทางการและเกือบเต็มรูปแบบครั้งแรกซึ่งผลตอบรับที่กลับมาจากหนังโฆษณาชุดนี้นับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับแบรนด์เล็กในเมืองใหญ่
ซึ่งผลตอบรับที่กลับมาจากหนังโฆษณาชุดนี้นับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับแบรนด์เล็กในเมืองใหญ่อย่าง BRUSH MEโดยส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตวง BLUESHADE ที่แต่งเพลงดีๆ ออกมาได้ตรงใจอย่างที่เราคาดไว้และขอบคุณทาง SRP LABEL ที่เป็นกำลังสำคัญในการช่วยโปรโมทหลังจากนี้เราได้วางแผนจะเผยแพร่โฆษณาชุดนี้ผ่านทางสื่อ Out Of Home ทั่วกรุงเทพฯ และ Print AD ที่อยู่บนรถสาธารณะต่างๆ ด้วย โดยผมคาดว่าจากการทำหนังโฆษณาชุดนี้ ประกอบกับทาง BRUSH ME กำลังจะมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด จะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ15%-20% จากปีก่อน
นอกจากนี้ คุณแต๊ก-วรวัฒน์ ยังได้เล่าถึงที่มาที่ไปของจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจแปรงสีฟัน BRUSH ME ให้ฟังกันต่อว่า
หลังจากเรียนจบมาก็สมัครทำงานที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่งในตำแหน่ง complianceofficer แต่อย่างที่รู้กันว่าการเริ่มต้นงานในธนาคารนั้นเงินเดือนค่อนข้างน้อยไม่พอใช้และรูปแบบงานไม่เหมาะกับ life style ของเรา จึงยังต้องพึ่งพาเงินของที่บ้านในแต่ละเดือน ในช่วงนั้นคุณพ่อจึงไม่พอใจและว่ากล่าวเรื่องการทำงานและการใช้เงิน ด้วยความเป็นวัยรุ่นและทิฐิที่มี จึงอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยการหาอะไรทำสักอย่างเพื่อหาเงินให้พอใช้โดยไม่ต้องพึ่งพาที่บ้าน ขณะนั้นเราได้เดินทางไปงานแสดงสินค้าที่เมืองจีน ซึ่งจริงๆ เป็นการเปลี่ยนสถานที่เที่ยวพบปะเพื่อนฝูง จึงชักชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่เมืองจีน โดยเอางานแสดงสินค้าเป็นข้ออ้างบอกที่บ้านในการเดินทางไป และได้นำโบรชัวร์แปรงสีฟันกลับมาเมืองไทยเพื่อยืนยันว่าเราไปทำงานนะ ซึ่งจริงๆ เดินงานแฟร์ไม่ถึงชั่วโมงก็กลับไปเที่ยวต่อ หลังจากกลับมาเมืองไทยก็ยังคงทำงานที่ธนาคารแห่งนั้นต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งไม่มีอะไรทำ จึงนอนก่ายหน้าผากคิดถึงโบรชัวร์ที่หยิบกลับมานอนดู แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย! แปรงสีฟันนี่สวยดีนะ จึงสอบถามกลับไปที่เมืองจีนถึงต้นทุนราคาสินค้า และกลับมาดูราคาขายแปรงสีฟันตามร้านสะดวกซื้อ และเห็นช่องทางการขายว่าสามารถทำกำไรได้ จึงเริ่มสั่งสินค้าเข้ามาจากประเทศจีน
หลังจากที่ได้นำเข้าแปรงสีฟันมาจากเมืองจีน ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 40,000บาท ก็ไม่รู้จะขายใคร เพราะทั้งตู้คอนเทนเนอร์มีสีเดียวแบบเดียว จึงเริ่มจากการบังคับขายเพื่อนที่สนิทกันก่อน แต่ด้วยความที่เพื่อนสนิทมีจานวนจำกัด สินค้าก็ไม่ได้ลดลงเลย จึงต้องพยายามหาทางอื่นในการระบายสินค้า จึงนำแปรงสีฟันไปเปิดท้ายขายในตลาดที่สมุทรสาคร ด้วยค่าเช่าแผง 200 บาท/วันแต่ปรากฏว่าเปิดอยู่ทั้งวันก็ขายไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ก็กลับบ้านมาคิดใหม่ว่าเราอาจจะทำธุรกิจผิดที่ผิดทาง จึงหาที่ขายใหม่โดยถัดมา เรานำแปรงสีฟันไปขายที่ตลาดเช้าที่สำเพ็ง ขายตั้งแต่ตี 1-7 โมงเช้า วันนั้นฝนตกแรงมาก ถือของหนีน้ำหนีแมลงสาป แต่ปรากฏว่าก็ขายไม่ได้อีกเช่นเดิม จึงเริ่มการความท้อแท้ เพราะด้วยความเป็นคนสบายมาแต่เด็ก ไม่เคยเจอความลำบาก ก็เลยปรับทุกข์กับคุณแม่ โดยที่คุณแม่ก็ให้กำลังใจและให้แนวทางความคิดที่ดี เพราะด้วยว่า 2 ที่ที่ผ่านมา พยายามขายปลีกแต่ไม่คุ้มค่ากับเวลาและการลงทุน จึงแนะนำให้เราไปค้าส่ง จึงเกิดแรงบันดาลใจจึงพยายามหาที่ขายส่ง และที่ขายส่งที่แรกของเราคือร้านค้าส่งประจำจังหวัดสุพรรณบุรีโดยการแนะนำของเพื่อนที่รู้จักกัน หลังจากนั้นจึงเริ่มเห็นลู่ทาง จึงเริ่มออกเดินทางไปทุกจังหวัดเพื่อนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในร้านขายส่งทุกๆ จังหวัด
โดยใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ในช่วงว่างๆ จากการทำงานจันทร์-ศุกร์ เราจะทำการ research ว่าจะไปไหน เราวางแผนเส้นทางจาก google ทำเส้นทางการเดินทาง และโทรศัพท์นัดหมายเพื่อเข้าพบในวันเสาร์-อาทิตย์ บางร้านตอบรับนัดหมาย บางร้านไม่สามารถนัดหมายวันเสาร์ได้ หลังจากเริ่มต้นขายส่งเป็นระยะเวลาประมาณครึ่งปี เราพอจะมีรายได้ cover เงินเดือนจากงานประจำ ประจวบกับคุณพ่อเสียอย่างกะทันหัน จึงตัดสินใจลาออกจากงานมาทุ่มเทให้กับการขายอย่างเต็มที่ เพราะเราเห็นลู่ทางในการกระจายสินค้าและเติบโตได้มากขึ้น จึงเริ่มวางแผนออกเดินทางขายสินค้าตามเส้นทางหลักๆ ในทุกจังหวัด หลังจากที่เรามีชื่อเสียงมากขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น
จึงเริ่มมีตัวแทนจากหลายจังหวัดติดต่อเข้ามาเพื่อขอนำสินค้าไปจำหน่ายต่อ จึงทำให้แปรงสีฟันของเรามีคนรู้จักมากขึ้นในตลาดล่างและตลาดกลาง และตัวแทนได้นำไปเสนอในตลาดราชการและได้รับการตอบรับที่ดี เราจึงต้องพัฒนาสินค้าและแบรนด์ของเรา จึงทำการ rebranding สร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆที่ดีขึ้น และย้ายโรงงานผลิตจากประเทศจีนไปยังประเทศเวียดนาม ได้เริ่มร่วมทุนกับโรงงานที่เวียดนามเพราะเรามองถึงการพัฒนาธุรกิจและตัวสินค้าในระยะยาว หลังจาก rebrandingstep ต่อมาคือนำสินค้าเข้าจำหน่ายในห้างร้าน modern trade ชั้นนำ ซึ่งถือว่าเป็นความตั้งใจและเป้าหมายที่คิดไว้แต่ต้น เพราะเราต้องการให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เราจึงตั้งใจแต่งตัวใหม่ ปรับลุคของผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยเหมาะกับทุกๆ ตลาดมากยิ่งขึ้น จนมาถึงปัจจุบัน
ในช่วงแรก เราไม่มีความรู้เรื่องสินค้า ตลาด และการนำเข้าส่งออก ไม่มีความรู้ความถนัดในการทำงานแนวนี้ จึงเกิดความผิดพลาดในกระบวนการนำเข้าสินค้า สินค้าที่นำเข้ามาในตู้แรกมีแบบเดียว สีเดียว ไม่เป็นที่ต้องการของร้านค้า เมื่อเริ่มขายได้ แบรนด์ของเราก็ยังไม่มีคนรู้จักมากนัก สำหรับร้านค้าจึงไม่สนใจที่จะนำสินค้าของเราไปวางจำหน่าย ทั้งยังมองตลาดไม่ออก สินค้าช่วงแรกไม่ตรงกับความต้องการของตลาด การมองตลาดไม่ออกคิดเองเออเองทำให้สินค้าไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ขาดความรู้เรื่องการผลิตจึงโดนโรงงานหลอก และโดนลูกค้าต้ม และด้วยเงินทุนที่มีไม่มาก ต้องค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยเพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำตลาดจึงสร้าง brand awarenessได้ช้า
ด้วยความที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ที่บ้านรู้ และคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จคนหนึ่งผู้ซึ่งเคยเริ่มต้นการทำธุรกิจจากศูนย์ เราจึงเห็นว่าเราเองมีโอกาสที่ดีกว่าหลายๆ คน การเริ่มทำธุรกิจที่เป็นของตัวเองให้ประสบความสำเร็จโดยไม่พึ่งพาที่บ้านจึงไม่น่าจะยากเกินความสามารถของตนเอง ด้วยความที่เป็นคนมองโลกในแง่บวก ไม่คิดมาก ชอบแก้ไขปัญหา และมี freedom to fail มากกว่าผู้อื่น แม้ล้มเรารู้ว่ายังมีคนซัพพอร์ต ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่เราได้รับมาแต่เกิด จึงทำให้เราเดินหน้ามาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ และจะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อทำให้แบรนด์บลัชมีเป็นแปรงสีฟันที่อยู่คู่คนไทยไปอีกนานๆ
ในส่วนของการ OEM หรือรับผลิตแปรงสีฟัน เราอยากได้รับโอกาสจากองค์กรใหญ่ๆ ในการผลิตแปรงสีฟันที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้า ในส่วนของแบรนด์ BRUSH ME เองเราอยากเห็นแปรงสีฟันบลัชมีเป็นที่รู้จักของทุกๆ คน และได้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพช่องปากของคนไทยทุกคน รวมถึงได้วางจำหน่ายอยู่ในร้านค้าทั่วไปครอบคลุมทั่วประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านภายในปี 2562
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี