เรียกว่าเป็นนักร้อง-นักดนตรี เพื่อนซี้เสียงทรงพลังที่คร่ำหวอดในวงการมาอย่างยาวนานและมากประสบการณ์สำหรับ เบน-ชลาทิศ ตันติวุฒ, โต๋- ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร, มาเรียม อัลคาลาลี่, เค้ก-อุทัย ปุญญมันต์ และคิว-สุวีระ บุญรอด วันนี้พวกเขาได้กลับมารวมตัวกันครั้งแรกในรอบ 15 ปี เพื่อจัดคอนเสิร์ตสุดพิเศษ รียูเนี่ยนเหล่าแฟนเพลง “B5 NOW 15”(บี ไฟว์ นาว 15) เพื่อมอบความสุขผ่านเสียงเพลงแบบเต็มอิ่ม แต่กว่าจะเกิดคอนเสิร์ตนี้ได้ พวกเขาต้องเตรียมตัวกันอย่างไรและมีอะไรให้เซอร์ไพรส์คนดูตามไปเจาะลึกจากพวกเขากัน
จุดเริ่มต้นในการรวมตัว
มาเรียม : จริงๆ พวกเราเจอกันตลอดเวลาอยู่แล้วเบน กับ โต๋ ก็จะเจอผู้ใหญ่กันบ่อย ก็จะมีการไปแย็บๆ ว่าเอ๊ะ สนใจอะไรยังไงไหม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้ใหญ่ทางบีอีซี เทโร เขาเห็นว่า เออ ได้เวลาแล้วล่ะ ที่ B5 จะกลับมารวมตัวกัน อยู่ดีๆ ก็นัดประชุมสายฟ้าแล่บ แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้น
โต๋ : ทุกอย่างคล้ายๆ รอบแรกเลย บทจะลงตัวก็ลงตัวกันง่ายๆ บทจะไม่ลงตัวกันนานเท่าไหร่ก็ไม่ลงสักที (หัวเราะ) ก็เรียกได้ว่าพูดคุยกันมาตลอดเลย 15 ปี คือเราอยากจะรวมตัวกันเองมาโดยตลอดนะ แต่ว่าศักยภาพของพวกเราที่นัดกันเองมันกันเองเกินไป แล้วมันก็ไม่เกิดขึ้นสักที
เดินหน้าสร้างโปรเจกท์
มาเรียม : ก็ต้องคุยกันว่ามีเพลงมีอะไรบ้างก่อนที่จะมีคอนเสิร์ต ก็เป็นการปูทางไปยังจุดหมายปลายทางของเรา เส้นชัยคือคอนเสิร์ต ตอนนั้นเราตื่นเต้นกันมากเลย นัดกันมาที่ห้องรวมตัวกัน เฮ้ย เพลงอะไรกันดี ลิสต์กันได้ประมาณ 40 กว่าเพลง
เค้ก : เยอะมาก มีเพลงตั้งแต่ของ เบเกอรี่ มิวสิค เพลงต่างประเทศ เพลงจีน มีทุกอย่างเลย ก็สนุกดีนะเราได้ระดมความคิดกันโดยไม่มีกรอบอะไร และตอนที่เป็นรูปเป็นร่างจริงๆ คือตอนที่ไป Karma Studios ที่บางเสร่ พวกเรากินนอนด้วยกัน3-4วัน ตอนนั้นมีพี่ไก่ด้วย คิดอะไรได้ก็อัดไว้ เหมือนกับเราไปทำเดโม่ครั้งแรกกันที่นั่น เหมือนได้ย้อนการทำเพลงไปในสมัยก่อนเลย
โต๋ : จริงๆ ทุกคนจ้องจะทำมาตั้งแต่ 3 ปี 5 ปี10 ปี แต่ไม่ลงตัวสักที จนสุดท้ายนี่แหละปีนี้ 15 ปีพอดี ตอนแรกก็คุยกันไว้ว่าจะทำคอนเสิร์ตใหญ่ๆ กันนะ แต่สุดท้ายก็เฮ้ย...ทำเป็นอัลบั้มดีกว่าก็เลยเป็นอัลบั้มออกมาด้วย เพราะในวันคอนเสิร์ตนอกจากคุณจะซื้อบัตรดูคอนเสิร์ตแล้วคุณก็จะได้อัลบั้มใหม่ของพวกเรา ฉะนั้นเริ่มต้นคอนเสิร์ตของเราก็เริ่มมาจากปลายปีที่แล้ว เลือกเพลง ทำเพลง นัดกันไปที่บางเสร่ พัทยา ทุกคนต้องเคลียร์คิว เหมือนเป็นการเข้าค่ายเลือกเพลงทำเพลง เพราะฉะนั้นถ้ารอไม่มีใครตรงกันแน่นอน (หัวเราะ)
ความต่างของการทำเพลงยุคปัจจุบันกับเมื่อก่อน
คิว : ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่าเป็นยุคสมัยไหนนะ ผมมองแค่ว่าเออเราอยู่ด้วยกันอยากจะทำอะไร อย่างโต๋กับเปียโนหนึ่งตัวกับเพื่อนๆ เสน่ห์ของมันคือ แค่ไม่ต้องคิด อยากเล่นอะไรขึ้นมาก อยากร้องอะไร แต่เราก็โชคดีที่มีพี่ไก่-สุธี มาช่วยทำให้ความเพ้อความเวิ่นเว้อนั้นมันพอดี แล้วมันก็สนุกที่ได้อยู่ด้วยกัน ลองผิด ลองถูก เราอาจจะไมได้รู้ทฤษฎีเยอะขึ้นแต่ด้วยประสบการณ์ที่เราอยู่มา 15 ปี มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกทุกคนโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ทุกคนโตขึ้นโดยประสบการณ์ ซึ่งตอนนี้ผมรู้สึกแค่ว่าสิ่งที่เราทำไปมันเป็นพลังงานที่ดีสำหรับผม
เบน : เบนโตมากับศิลปินที่ทำเพลงมาในห้องนอนใช้คอมพิวเตอร์ตัวเดียว แต่ตอนนี้เบนรู้สึกว่า B5 เหมือนเราย้อนกลับไปหาความออริจินัล ไปหาสิ่งที่จับต้องได้มากกว่าแค่การมีซอฟท์แวร์ และคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง คือการที่เราไปอยู่ในห้องซ้อมใหญ่ๆ ด้วยกัน มีแกนเปียโนตั้งอยู่หนึ่งตัว เอาไมค์มาวางตำแหน่ง ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง พอคนนี้คิดเพลงนี้ขึ้นมา โต๋เล่นเปียโนขึ้นมาอีก 4 คนช่วยกันลองร้องขึ้นมาสิว่าจะออกมาแบบไหน ผมว่ามันกลับไปสู่ความที่มันควรจะเป็น
ปัญหาหรืออุปสรรค
โต๋ : เป็นเรื่องที่ดีนะ การได้ทำงานกับเพื่อนได้เข้าห้องอัด ซ้อม มาอยู่ด้วยกันเป็นบรรยากาศที่ดีจุดแข็งแรงของการทำงานครั้งนี้ของพวกเขาก็คือความแข็งแรง ความเป็นเพื่อนที่พูดตรงๆ กันได้ ด่ากันได้รู้ว่าจะต้องพูดกันตรงๆ และมีการโหวตกันเกิดขึ้น แล้วก็มีพี่ไก่ เป็นเปาบุ้นจิ้น (หัวเราะ)
เบน : คือมันสนุกกว่าตอนเมื่ออัลบั้ม 15 ปีที่แล้วมากเลย เป็นโปรเจกท์ที่เกิดขึ้นมาโดยที่แบบว่าทุกคนไม่ได้ตั้งใจ แล้วรีบทำเลย พอคิดเพลงได้ โต๋กลับไปทำพี่ไก่แยกไลน์ประสาน แยกกันอัด คือตอนนั้นเรามีส่วนร่วมกับอัลบั้มแค่ตอนร้องกับตอนดีไซน์การประสานนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นเอง แต่ชุดนี้เหมือนเราได้เริ่มต้นด้วยกันตั้งแต่แรกหมดเลย
มาเรียม : ตอนนั้นที่ไปทำร่วมกันที่บางเสร่ ทุกคนก็ได้ลองอัดเสียง เราก็ฟังแล้วก็ลองเสนอไอเดีย เออ เราน่าจะเติมไลน์นี้เข้าไปหน่อยดีไหม ก็เข้าไปอัดเลย คือการที่เราไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันก็ทำให้เราโฟกัสสิ่งเดียวกันอันนี้มากขึ้นและใส่อะไรที่คิดว่าโอเค แล้วด้วยความที่เราก็โตมากับการทำงานเบื้องหลังในยุคสมัยก่อนตั้งแต่เด็กๆ เราก็อยู่ในห้องอัดเป็นคอรัสให้คริสติน ตอนนั้นจำได้อยู่ม.2-3 เรียนเสร็จก็ไปอยู่ห้องอัดเลย อยู่จนกระทั่งตี 4ก็ไม่ได้อัดร้องนะ นั่งรอคนโน่นคนนี่เข้าห้องอัด พอกลับมาทำB5 ครั้งนี้เราก็หวนคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ แบบนั้นอีกครั้งนะ คือการที่เราไปอยู่ห้องอัดเลยโดยที่ยังไม่มีหน้าเพลงอะไรเลยก็ได้
โต๋ : ด้วยความที่ B5 เป็นศิลปิน 5 คน จะเป็นโลก 5 อยู่ แล้วพอทุกคนมาอยู่รวมกันก็จะกลายเป็น โลกที่ 6 ที่ทั้ง 5 คน มารวมกันอยู่ ทุกคนก็จะมาอยู่จุดที่บาลานซ์กัน
เบน : คือไม่มีคนไหนหรือใครเสียสละอะไรของตัวเองเพื่อความบาลานซ์กันนะแต่ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติเอง
เค้ก : เหมือนเป็น Relationships นะ พอเรามาอยู่กับใครสักคนหนึ่งแล้วเราก็รู้สึกว่า เออ เราเป็นแบบนี้ผมว่าถึงแม้สไตล์ของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่จะมีธรรมชาติบางอย่างที่ทุกคนมีร่วมกัน เช่น เรามีอารมณ์ทุกๆ อย่างร่วมกัน เช่น เรื่องความเศร้า แต่ละคนอาจจะมีเรื่องราวชีวิตต่างกันแต่ว่าทุกคนรู้จักความเศร้าเหมือนกัน ทุกคนรู้จักความสุขเหมือนกัน ทุกคนรู้จักความสวยงามของเพลงเหมือนกัน ฉะนั้นการมาอยู่ร่วมกันตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นการเสียสละอะไร เป็นสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้ว
ความผูกพันตลอดระยะ 15 ปี
คิว : ตอนนั้นจะรู้จักเบนอยู่คนเดียว เข้ามาใกล้ๆ กันจนกระทั่งมาเจอ โต๋ มาเรียม เค้ก ด้วยความที่เราอินดี้มาก ตอนนั้นไม่คุยกับใคร ไม่อะไรเลย สุดท้ายกลายเป็นว่า 15 ปีที่ผ่านไป คนเหล่านี้เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา อย่างมาเรียมนี่ไม่กล้าและไม่คิดจะคุยด้วยเลย แต่พออยู่ไปสักพัก กลายเป็นเพื่อนที่ผมเจอบ่อยที่สุด คือตอนนั้นเมื่อ 15 ปีตัวเราเองแหละมีกำแพง มีอัตตาที่สูงมาก แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว สมัยก่อนเราไม่พอใจก็เขียนด่า แต่งเพลงด่า พอเวลาผ่านไปเราก็รู้สึกว่า เออ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรที่ทำอย่างนั้นกลายเป็นตอนนี้โต๋ดาร์กกว่าผมแล้ว (เสียงฮาครืน) วันๆ ผมดูแต่หมา
มาเรียม : คืนแรกที่เจอกันทุกคนไปกินข้าวที่สุขุมวิท 38 ที่โต๊ะเหลือเรากับคิว แล้วคิวเขาก็เงยหน้าขึ้นมา “ร้องแจ๊สเหรอครับ” (หัวเราะ) และจำได้ว่าคิวหัวเราะครั้งแรกในห้องอัดเพลง “บางสิ่ง”
คิว : สมัยก่อนเราเป็นคนขี้เขิน ถ้าไม่คุยก็จะหาว่าเราเก๊ก หยิ่ง(หัวเราะ)
เบน : เรารู้สึกว่าเราจะทำยังไงให้สนิทกันเร็วที่สุด เจอมาเรียมเสร็จก็ยิ้มให้แล้วพูดว่า “ว่าไงผู้หญิงอ้วน”คือผมกับคิวเจอกันอยู่แล้ว ส่วนเค้กก็เจอกันตั้งแต่เรียนอยู่แล้ว พอวันนั้นต้องมาเจอกับมาเรียมและโต๋ก็ไม่มีอะไรมากทำการบ้านแค่ 2 คนนี้ (หัวเราะร่วน) ก็คือละลายพฤติกรรมกัน สนิทกัน ส่วนโต๋มาถึงก็ดูเรียบร้อยจังใส่ชุดนักศึกษาเอแบค
มาเรียม : คือ คนเราถ้าทักมาอย่างนี้แล้วถ้าโกรธหรือติดใจอะไรกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้นะ แต่นี่เราด่ากลับ เรารู้ว่านี่คือการหยอกล้อไม่ใช่มานั่งแบบไม่พอใจกัน
เอกลักษณ์ของการประสานเสียงแบบ B5
เบน : B5 ไม่ใช่การประสานเสียงที่เป็นวงแบบประสานเสียง A cappella หรือตามตัวโน้ตอย่างนั้นแต่ B5 คือ การโซโล่ 5 คน ศิลปินเดี่ยว 5 คนที่มาหาจุดกึ่งกลางตรงกลางด้วยกัน มันก็จะมีความแลบปลิ้นความเป็นศิลปินเดี่ยวของแต่ละคนออกมาให้เห็นอยู่ในแต่ละท่อน ที่ร้องประสานกัน ไม่เหมือนวงเดี่ยวกับยุคเราตอนนั้นA cappella 7 อันนั้นคือเนียน โซโล่หนึ่งคน แต่ว่าของเราคือ B5 5 คน คนต้องประคองกันไปให้ถึงจุดที่ดีที่สุด ยังคงความเป็นตัวเองอยู่ เวลาร้องประสานจะฟังรู้เลยว่าเสียงใคร การรวมตัวร้องกับ B5 จะทำลายทุกทฤษฎีการร้องการประสานเสียงทั้งหมดที่เราเคยเรียนมา แต่มันกลายเป็น นี่มันคือ จุดเด่นของ B5
กราฟชีวิตที่ผ่านมา
คิว : เรารู้สึกว่าการร้องเพลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฟังเพลงนี้ บรรยากาศแบบนั้น หรือเราอยากจะร้องอะไรหรือทำอะไรมันมีความสุข เวลาทุกข์เราร้องเพลงขึ้นมามันเกิดเป็นซีนในหัวหรือเพลงจากหนังที่เราชอบก็เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในนั้น ผมก็เลยรู้สึกว่าการร้องเพลงไม่เคยทำร้ายอะไรผมเลย งานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นงานที่ไม่เหมือนงาน กล้าพูดว่าเราโชคดีกว่าหลายคนนะ
บางคนทำงานที่รักก็โชคดีไป บางคนเลือกไม่ได้จำเป็นต้องทำ แต่เราไม่ได้เลือกเว้ย มันเลือกเรา แล้วเราก็อยู่กับมันชนิดที่ว่าเราก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นงาน ก็แค่เหนื่อยไปตามรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ ใจเรายังอยากสนุกอยู่ รู้แค่ว่ามันเป็นชีวิตเรา
เบน : ผมเป็นคนที่คุยกับตัวเองเสมอว่า เราแฮปปี้กับสิ่งที่เรากำลังจะทำหรือเปล่า ผมไม่อยากจะไปย้อนว่าอีก 10 ปีที่แล้ว อยากจะบอกอะไรตัวเอง ผมก็จะบอกเสมอว่า ทำดีแล้วนะทำต่อไป มันมาจากจุดแรกทุกๆ งาน ทุกวันที่เราเลือกจะทำเราตั้งคำถามกับเราเองว่าเราแฮปปี้ที่จะทำไหม อย่าทำไปด้วยการฝืนใจทำ และอยากจะกลับไปแก้อะไรไหม ไม่เลยเพราะทุกอย่างคือความสุขที่เราได้เลือกทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะวันที่เราตัดสินใจจะทำเราถามตัวเองแล้วว่าเรามีความสุขที่จะทำหรือเปล่า ไม่มีความสุขก็ไม่ทำแค่นั้นเอง
เค้ก : ถ้าย้อนกลับไปในวัยเด็กเราก็มีความทุกข์บ้าง เฮ้ย เราอยากจะร้องเพลงต่อนะ แต่ ณ ตอนนี้เรามองย้อนกลับไปมันก็ดีนะ ทุกๆ ช่วงชีวิตเรา ถ้าเราไม่ได้หยุดร้องเพลงเราก็ไม่ได้ไปต่างประเทศ และตอนนี้ถึงแม้จะทำธุรกิจมีปัญหาก็มีความเครียดเป็นปกติ แต่ว่าเราก็รู้สึกว่าขึ้นลงสนุกกันคนละแบบ เราสามารถมีความสุขกับการขึ้น-ลงของมันได้
โต๋ : ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาร้องเพลง ตอนนั้นทุกคนได้ออกอัลบั้มแล้ว ผมยังไม่ได้ออกสักอัลบั้มเลย ก็เลยไปเมืองนอก และโดนเลื่อนมาตลอด แล้วก็ได้มาทำเพลง รักเธอ แล้วพอทำสักพักเริ่มเบื่อก็หายไป แล้วก็กลับมาอีกครั้งและตอนนี้ก็ไม่เหมือนตอนนั้น เพราะตอนนั้นเครียดมากต้องทำทุกอย่างให้ดี เราตั้งใจเกินไปจนลืมที่จะมีความสุขกับชีวิต แต่พอกลับมาทุกวันนี้ผมมองว่าการมีความสุขมันสำคัญนะ กลายเป็นอะไรก็ได้ไม่ต้องกังวลหรือเครียดผมไม่ต้องคีฟอะไรอีกต่อไป กล้ามากขึ้นเพื่อกระโดดไปหาความสุข ผมว่าคนที่ชิงมีความสุขก่อนคือคนที่ชนะ
มาเรียม : ช่วงชีวิตของทุกคนมีทั้งจุดขึ้นและจุดลงจุดที่เรารู้สึกว่าแย่ที่สุด ทำไมต้องเกิดกับเรา แต่พอวันหนึ่งเรามองอยู่ในจุดที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย ดี แฮปปี้ เรามองย้อนกลับไป มันจะไม่สามารถมาอยู่ตรงนี้ได้ ถ้าเราไม่ได้ผ่านตรงนั้นมา ถ้าชีวิตเราไม่ได้เลือกเดินทางนั้น บางอย่างที่เราคิดว่าฉันตัดสินใจผิด เลือกผิด ที่ทำแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราเลือกมันพาเรามาทางนี้ ณ จุดที่เราต้องการมากที่สุด เรียมเชื่อว่าชีวิตเรามีกราฟแบบนั้นนะ กราฟที่สุดท้ายแล้วมันก็จะพาเราไปอยู่ในจุดที่ควรจะอยู่ที่สุด ฉะนั้นกราฟตอนนี้คือจุดที่เรามีความสุข และเชื่อว่าต่อไปก็ต้องเจอจุดลง จุดขึ้นอีก
เค้ก : ทุกวันเราให้ค่ากับอะไรมากเกินไป จนกระทั่งเราไปมีความทุกข์กับมัน เพราะจริงๆ แล้วเราก็อาจจะเป็นแค่จิตวิญญาณที่กำลังมีประสบการณ์แบบมนุษย์อยู่ จะขึ้นจะลงก็เป็นแบบมนุษย์เราก็สนุกไปกับมันดีกว่า
เบน : กราฟขึ้นหรือลงเบนว่ามันคือธรรมชาติของชีวิต สัจธรรม ทุกอย่างมีขึ้นมีลง ไม่มีอยู่ตรงนี้หรืออยู่ถาวรตลอดไป ประเด็นเราว่าน่าจะอยู่ที่ความสุขใครเข้าใจและหาเจอเร็วที่สุดก็จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริงกับสิ่งที่ตัวเองทำ
บทบาทที่นอกเหนือจากงานในวงการ
เบน : ช่วงหลังๆ ก็เริ่มผันตัวเองมาทำอะไรมากขึ้นนอกจากร้องเพลง เล่นคอนเสิร์ต เล่นละครเวที ละคร ทำหนัง ทำรายการ Commentator กรรมการ โค้ชก็แตกมาจากสิ่งที่เรารักก็คือการร้องเพลง หลังจากนี้ใครจะติดตามก็ติดตามได้ แล้วก็มีซิทคอม รายการทีวี. และอย่างปีนี้ก็แพลนโปรเจกท์ใหญ่ไว้แค่ B5 นี่แหละฝากติดตามด้วยละกันครับ
เค้ก : จริงๆ ก่อนหน้านี้เคยแต่งเพลงไว้เยอะมาก แล้วก็ทำเป็นเดโมทิ้งไว้ มาถึงปัจจุบันก็ไม่ได้มีความตื่นเต้นที่อยากจะปล่อยเพลง หรือว่าทำมาหากิน โดยเราก็ยังชอบการร้องเพลง แต่เราอาจจะไม่ได้โฟกัสที่การดำเนินอาชีพร้องเพลงเพื่อหาเงินแล้ว นอกจากนี้ก็มีทำร้านอาหาร “มามาริน” ใครชอบกินก๋วยเตี๋ยวไปชิมกันได้ อยู่เอกมัย ซอย 15 และสาขา 2 ที่บีทีเอส บางจาก แล้วก็มีทำเว็บเพจท่องเที่ยวชื่อ Hopāround (@hoparound.co)หรือ www.facebook.com/hoparound.co และช่วยงานที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมที่พัทยาครับ
โต๋ : ผมเพิ่งออกอัลบั้มใหม่ไป ตอนนี้ก็ทำอีกอัลบั้ม ตั้งใจว่าพอจบคอนเสิร์ต B5 ก็จะออกอัลบั้มชุดใหม่อีก ยังคงมีความสุขกับวงการเพลงอยู่ และมีความสุขที่มีโอกาสได้ไปทำเพลงต่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากทำและพูดมาตั้งนานแล้วว่าอยากจะทำมาโดยตลอดจนเราได้โอกาสที่ไปทำจริงๆ และบทบาทอื่นไม่ว่าจะเป็นCommentator โค้ช พิธีกร ละครเวทีบ้าง และละครเรื่องแรกก็อาจจะตามมาเร็วๆ นี้ด้วย
มาเรียม : มีงานเบื้องหลังเรื่อยๆ ค่ะ ไปช่วยคุมร้องให้คนนี้ คอรัสให้คนนั้น ชอบร่วมงานกับศิลปินใหม่ๆ เพลงโฆษณา พากย์รายการ สปอตวิทยุ มีวงของมาเรียมเองที่ออกอีเว้นท์ แล้วก็คุยกันหลายครั้งว่าอยากจะทำเพลงร่วมกันแต่ยังไม่มีโอกาสได้อัดหรืออะไรยังไงก็รอเสร็จ B5 ก่อนค่ะ
คิว : ผมเหรอ ตื่นมาเล่นเกม ดูสุนัข ไม่มีอะไร เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่อง ไม่อยากทำตัวให้เป็นข่าวหรือเป็นกระแส อาจจะร้องเพลงเล่นๆ ในแอฟให้คนฟังอัดสปอตโฆษณา ก่อนหน้านี้ก็จะมีทัวร์คอนเสิร์ตกับฟลัวร์บ้างแต่ไม่ได้งานใหญ่โตอะไรครับ
ความพิเศษของ “B5 NOW 15” ที่เตรียมไว้
เบน : ผมว่าแล้วแต่มุมมองว่าความพิเศษที่แฟนๆ คาดหวังคืออะไร บางคนก็ไม่ได้คาดหวังให้ B5 มาเต้น เพราะไม่ใช่สิ่งที่ B5 ทำได้ดี หลายๆ ครั้งคอนเสิร์ตที่แสดงมาเราก็จะมีโชว์พิเศษโน่นนั่นนี่ แต่ฟีดแบ๊กกลับกลายเป็นว่า ทำไมไม่ร้องเพลงนี้ล่ะคะ ฉะนั้นบนเวทีนี่ก็เลยจะพยายามร้องเพลงออริจินัลของ B5 ให้มากที่สุด คอนเสิร์ต “B5 NOW 15” ในวันเสาร์ที่ 8 กันยายน 2561 ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ผมบอกเลยว่าสำหรับใครที่ว่างวันนั้นก็มามีความสุขร่วมกัน พวกเราก็มีความภูมิใจที่ได้มารวมตัวกันและร้องเพลงให้ทุกคนได้ฟังกัน ผมไม่มีอะไรสัญญาให้นอกจากสัญญาว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เพลงเพราะแน่นอน เพราะมากๆ ไม่ผิดหวัง และบัตรทุกที่นั่ง รับทันที ซีดีอัลบั้มใหม่ ที่ไม่มีวางจำหน่ายที่ใด คุ้มแน่นอนครับ
โต๋ : คนดูคุ้มมากนะผมว่าการที่คุณได้มาดูศิลปินเดี่ยว 5 คน บนเวที ตั้งแต่เพลงอัลบั้มแรกของ B5รวมทั้งเพลงเดี่ยวของแต่ละคน ได้เห็นเกือบ 20 เพลง ออริจินัลของ B5 บนเวทีก็จะเน้นโชว์เพลง อารมณ์เพลงต่อเนื่องยังไง โฟกัสที่การแสดง การร้อง ให้ตราตรึงใจคนดูครับ
แค่นั่งฟัง 5 ศิลปินมารวมตัวพูดคุย ยังสัมผัสได้ถึงความสุข รอยยิ้ม และเสียงฮา เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องเดาว่า ยาม B5 อยู่บนเวที จะตระการตา และตราตรึงใจสักเพียงใด!?
ปริมวาไล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี